หลักการแต่งไทยเป็นมคธ ป.ธ.๙ (ตอนที่ 7)
ประโยคกาลาติปัตติ
ในกรณีที่สำนวนไทยมีข้อความซึ่งนำเรื่องราวความเป็นไปที่ล่วง เลยมาแล้วมาเล่า หรือมาพรรณนาใหม่ เป็นการกล่าวเรื่องย้อนหลัง ในอดีต แต่เรื่องที่เล่าหรือพรรณนานั้นมิได้มีหรือมิได้เกิดขึ้นตามนั้น เป็นเพียงสมมติเอาว่าถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะมีหรือได้อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น ให้ปรุงประโยคเป็นรูปกาลาติปัตติ คือให้มิกิริยาหมวดกาลาติปัตติคุมพากย์ เช่น ข้อความว่า
- - ถ้าผมขยันเรียนหนังสือมาเรื่อยๆ ผมคงสอบประโยค ป.ธ.๙ ได้ไปนานแล้ว ฯ
- - เขาคงเป็นเศรษฐีร้อยล้านไปแล้ว ถ้าเขารู้จักกิน รู้จักใช้เงินทองที่ได้มา ฯ
ข้อความนี้เป็นการตั้งสมมติฐานเอาว่า ถ้าขยันเรียนก็คงสอบได้ แล้ว ซึ่งแสดงว่าความจริงไม่ได้ขยันเรียน และยังสอบไม่ได้ หรือสมมติเอาว่า ถ้ารู้จักกินรู้จักใช้ ก็คงเป็นเศรษฐีไปแล้ว แสดงว่าปัจจุบันเขาไม่ได้เป็นเศรษฐีอย่างที่ว่า
ในการปรุงประโยคกาลาปัตตินี้ มีเกณฑ์ความนิยม ดังนี้
๑. ข้อความนั้นจะต้องเป็นข้อความที่ผ่านเลยมาแล้ว แต่ถูกนำมา เล่าใหม่โดยมีข้อแม้หรือเหมือนมีข้อแม้อยู่ด้วย และจะต้องมีเนื้อความเป็นสองตอน ในแต่ละตอนนั้นเนื้อความจะตรงข้ามกับเรื่องจริงเสมอ และจะต้องมีข้อความที่แสดงว่าผ่านเลยมาแล้วปรากฏอยู่ในอีกตอน หนึ่งเสมอ
๒. ปรุงประโยคภาษามคธให้เป็นสองประโยค โดยประโยคที่บอก ความที่ผ่านเลยมาแล้ว ให้มีกิริยาหมวดกาลาปัตติคุมพากย์ และมีนิบาตบอกปริกัป คือ ยทิ สเจ หรือ เจ หรือมีนิบาตอื่นที่ทำหน้าที่คล้ายนิบาตบอกปริกัปอยู่ต้นประโยค ซึ่งแล้วแต่เนื้อความ ส่วนอีกประโยค หนึ่งจะมีกิริยาหมวดกาลาปัตติ หมวดภวิสสันติ หรือหมวดอื่นใด คุมพากย์ก็แล้วแต่เนื้อความเช่นกัน
พึงทำความเข้าใจโดยศึกษาจากตัวอย่าง ดังนี้
- สจายํ ปุริโส อิตฺตรสตฺโต อภวิสฺส น อมฺหากํ อาจริโย เอวรูปํ อุปมํอาหริสฺสติ ฯ (๑/๑๐๒)
(เรื่องจริง บุรุษนี้ไม่ได้ตํ่าต้อย และอาจารย์นำอุปมามาพูด)
- สเจหิ เตน ปิตา ฆาติโต นาภวิสฺส, ตสฺมึเยวาสเน โสตาปนฺโน อภวิสฺส ฯ (มงฺคล ๑/๔๒)
(เรื่องจริง พระเจ้าอชาติศัตรูปลงประชนม์พระราชบิดา และ มิได้เป็นโสดาบัน)
- ภิกฺขเว สจายํ เอกสาฏโก ปฐมยาเม มยฺหํ ทาตุํ อสกฺขิสฺส, สพฺพโสฬสกํ อลภิสฺส ; สเจ มชฺฌิมยาเม ทาตุํ อลภิสฺส, สพฺพฏฺฐกํ อลภิสฺส ฯ (๕/๔)
(เรื่องจริง จูเฬกสาฎกพราหมณ์ใม่ได้ถวายในปฐมยามหรือ ในมัชฌิมยามและไม่ได้ของอย่างละ ๑๖ หรือ ๘)
- รูปญฺจ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ รูปํ อาพาธาย สํวตฺเตยฺย ฯ
(เรื่องจริง รูปไม่ได้เป็นอัตตาและเป็นไปเพื่ออาพาธ)
- สเจ ปนานนฺท นาลภิสฺส มาตุคาโม ตถาคตปฺปเวทิเต ธมฺมวินเย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชํ, จิรฏฺฐิติกํ อานนฺท พรหฺมจริยํ อภวิสฺส ; วสฺสสหสฺสํ สทฺธมฺโม ติฏฺเฐยฺย ฯ (วิ.มหา. ๒/๕๑๘/๓๒๖)
- โส จ หิ เต มหานาม ธมฺโม อชฺฌตฺตํ ปหีโน อภวิสฺส, น ตฺวํ อคารํ อชฺฌาวเสยฺยาสิ น กาเม ปริภุญฺเชยฺยาสิ ; ยสฺมา จ โข เต มหานาม โส เจว ธมฺโม อชฺฌตฺตํ อปฺปหีโน, ตสฺมา ตฺวํ อคารํ อชฺฌาวสฺสิ กาเม ปริภุญฺชสิ (ม.มู. ๑๒/๒๑/๑๗๙)
ข้อสังเกต เรื่องที่นำมาเล่าใหม่ แม้เป็นเรื่องที่ล่วงมาแล้วและมีข้อแม้อยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง เป็นไปอย่างนั้นจริงก็ไม่เข้าลักษณะประโยคกาลาติปัตติ ต้องแต่งไปตามปกติธรรมดา เช่น
ไทย
|
: ถ้าเขาทำงานนั้นเสร็จแล้ว เขาก็ไปธุระที่อื่นได้ ฯ
|
มคธ
|
: สเจ หิ โส กมฺมนฺโต เตน นิฏฐาปิโต อภเวยฺย,
|
|
โส อญฺญตฺถ กิจฺจํ กาตุํ ลภติ ฯ (ประโยคปกติ)
|
ไม่ใช่
|
: สเจ หิ โส กมฺมนฺโต เตน นิฏฐาปิโต อภวิสฺส, โส
|
|
อญฺญตฺถ กิจฺจํ กาตุํ อลภิสฺส ฯ
|
|
(เป็นประโยคกาลาติปัตติที่ผิดความ ประโยคนี้จะมี
|
|
ความหมายว่า เขามิได้ทำงานเสร็จและเขาไม่ไปธุระที่อื่น)
|
ไทย
|
: แต่เติมข้าพเจ้าเข้าใจว่า เรื่องนี้เกิดที่ประเทศพม่า
|
|
เป็นครั้ง แรก แต่ที่จริงเกิดที่ประเทศไทยนี่เอง ฯ
|
มคธ
|
: อิโต ปุพฺเพ มยฺหํ อภินิเวโส อโหสิ “อิทํ การณํ
|
|
สพฺพปฐมํ มรมฺมรฏฺเฐ ฯ อุปฺปนฺนํ, อถโข ทยฺยรฏฺเฐเยว
|
|
อุปฺปนฺนํ โหตีติ ฯ (ประโยคปกติ)
|
ไม่ใช่
|
: อิโต ปุพฺเพ มยฺหํ อภินิเวโส อโหสิ “อิทํ การณํ
|
|
สพฺพปฐมํ มรมฺมรฏฺเฐ อุปฺปนฺนํ อภวิสฺส, อถโข
|
|
ทยฺยรฏฺเฐเยว อุปฺปนฺนํ อโหสีติ ฯ
|
|
(ประโยคกาลาติปัตติที่ผิดหลัก)
|
เรื่องประโยคกาลาติปัตตินี้ นักศึกษาจำต้องศึกษาและทำความ เข้าใจให้ถ่องแท้ จึงจะสามารถจับใจความและแต่งให้ถูกหลักทางภาษา ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือศึกษาและทำความเข้าใจจากตัวอย่างที่มีอยู่ในปกรณ์ ต่าง ๆ ที่ท่านแต่งและใช้กันมาแต่โบราณ หรือจากพระไตรปิฎกโดยตรง ก็จะได้แบบที่ถูกต้องถือเป็นตัวอย่างได้