ข้อความสำนวนไทยบางส่วนมีความคล้ายคลึงกับสำนวนมคธ สามารถแต่งเป็นสำนวนมคธได้โดยไม่ต้องตัดทอน หรือเพิ่มเติมอีก ข้อความสำนวนไทยที่สามารถตามความได้นั้น โดยมากมักเป็นข้อความที่บรรยายความ คือเล่าเรื่องหรือเดินเรื่องไปเรื่อยๆ เป็นข้อความสั้นๆ มีความชัดเจน ไม่ซับซ้อนมาก หรือเป็นข้อความที่ถ่ายเทมาจากสำนวน ธรรมะหรือสำนวนมคธโดยตรง มิใช่ข้อความที่อธิบายหรือขยายความ ซึ่งมักจะมีประโยคยาวและซับซ้อน เมื่อพบสำนวนอย่างนี้ก็เป็นการสะดวกที่จะแต่งให้เป็นสำนวนมคธ แม้ศัพท์ที่จะใช้ก็หาได้ง่าย ประโยคก็ไม่ซับซ้อน เป็นเอกรรถประโยคเสียโดยมาก เช่น ข้อความว่า
“ในที่นั้น มีต้นมะม่วงใหญ่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่นํ้าคงคา มีสาขาอัน งามตระการ บางสาขาก็แผ่ก้านออกไปถึงแม่นํ้าทรงผลอันโอชารสเลิศ ลํ้าเป็นที่น่าปรารถนา บ้างก็หล่นลงในน่านนํ้า”
สำนวนอย่างนี้สามารถแต่งตามได้โดยไม่ยากนัก เพราะเป็นสำนวนพื้นๆ เมื่อแต่งตามแล้วจะได้ว่า
ตตฺเถโก มหนฺโต อมฺพรุกฺโข สาขาปตฺตสมฺปนฺโน คงฺคาย ตีเร ปติฏฺฐหิ ฯ ตสฺส สาขาสุ กาจิ นทิยํ ปสาเรสิ ฯ ตสฺส ผลานิ อิฏฺฐานิ กนฺตานิ มธุรานิ หุตฺวา ปตนฺตานิ นทิยมฺปิ ปติ ฯ
(สนามหลวง ๒๕๑๑)
การตามความไม่มีข้อพิเศษอะไรมาก เพราะเมื่อสำนวนไทยเอื้ออำนวยให้โดยตรง ด้วยมีลักษณะดังกล่าวข้างต้น ก็สามารถแต่งตามสำนวนนั้นได้เลย แม้จะมีตัดแปลงบ้างเล็กน้อย ก็ยังถือได้ว่าแต่งตามความเช่นเดียวกัน พึงดูสำนวนสนามหลวงที่ท่านแต่งไว้เป็นตัวอย่าง ต่อไปนี้เทียบเคียง
| ไทย | : การที่ประเทศไทยของเรานี้ดำรงเอกราชความเป็นอิสระ | 
| 
 | และความปกติมั่นคงอยู่ได้โดยสวัสดี ทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้าน | 
| 
 | หลายแห่ง ต้องประสบความวุ่นวายเดือดร้อนอยู่อย่างหนักนั้น | 
| 
 | ก็ด้วยพระบารมีแห่งได้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่ทรง | 
| 
 | ยึดมั่นอยู่ในธรรมปฏิบ้ติปกเกล้าปกกระหม่อมอยู่ ฯ | 
| มคธ | : อยมฺปนมฺหากํ ทยฺยเทโส สามนฺตปฺปเทเสสุปิ | 
| 
 | มหาโกลาหลปฺปตฺเตสุ สติ อธิมตฺตทุกฺขปฺปตฺเตสุ จ, | 
| 
 | โย มหาราชา ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติยา สุสมาหิโต | 
| 
 | โหติ, ตสฺสานุภาเวเนว สกฺโกติเยว โสตฺถินา อตฺตโน | 
| 
 | เอกรชฺชํ อิสฺสริยํ ถาวรญฺจ สนฺตึ สุสํวิหิตารกฺขํ | 
| 
 | อภิรกฺขิตุํ ฯ | 
| ไทย | : บุคคลใดมีกำลังกายบริบูรณ์อยู่ ก็อาจมีความเจริญทัน | 
| 
 | เพื่อนบ้านได้ ถ้าผู้ใดยิ่งมีกำลังกายมาก ก็ยิ่งมีหนทาง | 
| 
 | ให้จำเริญได้มากและรวดเร็วขึ้นเป็นลำดับได้ ฉันใด | 
| 
 | พานิชการก็เป็นกำลังของชาติบ้านเมือง ฉันนั้น เมืองใด | 
| 
 | มีพานิชการก็เหมือนมีกำลัง พานิชการยิ่งมาก กำลัง | 
| 
 | และอำนาจแห่งชาติก็ยิ่งมากขึ้นตามลำดับ ฯ | 
| มคธ | : โย โกจิ ปุริโส พลสมฺปนฺโน โส อญฺเญหิ | 
| 
 | สมานวฑฺฒเน อตฺตานํ วฑฺเฒตุํ สกฺโกติ สเจ ปน | 
| 
 | โกจิ อติถามวา ภเวยฺย, โส ขิปฺปเมว อนุปุพฺเพน | 
| 
 | อภิวฑฺเฒติ ; เอว มยมฺปิ รฏฺฐานํ พลํ โหติ, ยสฺมึ | 
| 
 | พหุธา ปวตฺตติ, ตสฺส พลญฺเจว วสิสฺสริยญฺจ | 
| 
 | ภิยฺโยโส มตฺตาย อนุพรูหนฺติ ฯ | 
ข้อความภาษาไทยที่กำหนดให้แต่งนั้น ในบางตอนจะมีเนื้อความ ที่ยังไม่ชัดเจน ยังคลุมเครือ ยังคุมความได้ไม่หมด หากจะแต่งไปตามข้อความนั้น ย่อมทําให้ขาดความแจ่มแจ้งและเสียอรรถรสทางภาษาได้ ในกรณีอย่างนื้ให้เติมเนื้อความที่ขาดไปให้เต็มสมบูรณ์ได้เนื้อความ ที่เติมมานั้นอาจเป็นประโยค เป็นวลี หรือเป็นศัพท์ก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม เมื่อเติมแล้วต้องได้ความเต็มสมบูรณ์ขึ้น เนื้อความสัมพันธ์เนื่องกันไปเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ใช่เติมแล้วทำให้เนื้อความสับสน เพราะเติมความอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องลงไป
อนึ่ง ในเรื่องการเติมความนี้มีข้อที่พึงทราบอันเป็นความนิยมทาง ภาษาเพิ่มเติม ดังต่อไปนื้
๑. ข้อความที่เป็นหัวข้อธรรม เมื่อจะแต่งอธิบายนิยมแต่งเป็น รูปวิ เคราะห์เติมเข้ามาก่อน แต่รูปวิ เคราะห์นั้นจะต้อง เป็นรูปวิ เคราะห์ที่ผู้รู้ได้เขียนไว้ในปกรณ์ทั้งหลายแล้ว ไม่ใช่แต่งเองตามใจชอบ เช่น
| : สิกฺขากามตาติ เอตฺถ สิกฺขาย กาเมตีติ สิกฺขากาโม, | 
| ตสฺส ภาโว สิกฺขากามตา ฯ สา ปนายํ โลกสฺส เจว ธมมสฺส | 
| จ สาตฺถิกา ฯ | 
๒. ในข้อความที่อธิบายข้อธรรมแต่ละอย่างให้ละเอียดยิ่งขึ้น นิยมเติมข้อธรรมนั้นๆ ไว้ไห้ครบก่อน แล้วจึงแยกแต่งทีละข้อธรรมทีหลัง โดยใช้ศัพท์นิทธารณะและนิทธารณียะ เป็นตัวเชื่อมความ เช่น
| : ตตฺริเม ปฌฺจ สนฺธโย อุคฺค่โห ปริปุจฺฉนา อุปฏฺจานํ อปฺปนา | 
| ลกฺขณนฺติ ฯ ตตฺถ อุคคโห นาม กมฺมฏฺจานสฺส อุคคณฺหนํ ฯ | 
๓. ในกรณีที่ข้อความมีอุปมาอุปไมยอยู่ด้วย ก่อนที่จะแต่งข้อ ความอุปมาอุปไมยนั้น นิยมแต่งเติมสำนวนว่า “ตตฺรายํ อุปมา” หรือ “นิทสฺสนํ เจตฺถ ทฏฺฐพฺพํ” ไว้ข้างต้นก่อน เมื่อแต่งข้อความอุปมาหมดแล้ว หากข้อความภาษาไทยไม่มีอุปไมยต่อ นิยมแต่งเติมประโยคอุปไมยสั้นๆ ว่า “เอวํ สมฺปทมิทํ ฯ” หรือ “เอวํ สมฺปทมิทํ ทฏฺฐพฺพํ ฯ” ต่อท้ายข้อความอุปมาไว้ด้วย เช่น
| : จิตฺตมฺปน กิญฺจาปิ อาทิโต ยถาสภาเวน ปวตฺตติ อถโข | 
| สมฺมาสมาธินา สาธุกํ ปริวตฺเตตุํ สกฺกา โหติฯ | 
| นิทสฺสนํ เจตฺถ ทฏฺฐพฺพํ ฯ ยงฺกิญฺจิ ภณฺฑํ ปุพฺเพว | 
| อสุคนฺธํ ปจฺฉา ปน สกฺกา โหติ ปุนปฺปุนํ สุรภิวาเสน | 
| สุคนฺธํ กาตุํ ฯ | 
๔. ในกรณีที่ข้อความภาษาไทยกล่าวถึงเรื่องใดไว้โดยย่อก่อน แล้วกล่าวอธิบายขยายความเรื่องนั้นออกไปอีก ก่อนที่จะแต่งข้อความ อธิบายนั้น นิยมเติมคำว่า “กถํฯ” ซึ่งแปลว่า “คือ” คั่นไว้ก่อนแล้ว จึงแต่งความต่อไป แต่หากข้อความนั้นมีความยาว และเป็นเรื่องสำคัญ จะเติมคำว่า “ตตฺรายํ อนุปุพฺพีกถา ฯ” ดังนี้ ก็เหมาะอยู่ เช่น
| : เต ปน เมตฺตาธมฺมปรายนา หุตฺวา นานปฺปกาเรหิ เตสํ | 
| สิปฺปสิกฺขนํ สงฺคณฺหนฺติปิ อนุคฺคณฺหนฺติปิ ฯ กถํ ฯ เต | 
| อนฺโตวิหาเรสุ สาลาทิอคารฏฺฐานานิ ปาฐสาลา กาตุํ | 
| อนุชานนฺติปิ ธุรคฺคาหา หุตฺวา ปาฐสาลา สยํ | 
| มาเปนฺติปิ อญฺเญ สมาทเปตฺวา มาปาเปนฺติปิ ฯ | 
ในเรื่องการเติมความนี้ อยูในดุลยพินิจของนักศึกษาเองว่าจะเห็น เหมาะเห็นควรอย่างไร จะเติมตอนไหนอย่างไร ข้อสำคัญก็คือเมื่อเติม แล้วให้ได้ใจความสมบูรณ์และชัดเจนขึ้น ให้ลูกหลักภาษา และไม่เติมจนดูเฝือไป
การเติมในทุกที่ตามความคิดเห็นของตน โดยไม่คำนึงถึงเนื้อความ ภาษาไทยที่กำหนดให้ เช่น แต่งอธิบายขยายความธรรม หรือ ใส่เรื่องราวต่างๆ ไป เพิ่มเข้าไปมากเหมือนแต่งกระทู้ธรรมอย่างนี้ กลายเป็นเฝือไป ไม่เป็นที่นิยม แม้จะแต่งถูกธรรมและถูกเรื่อง แต่ก็ไม่ถูกหลักการเติมความและไม่ตรงกับข้อความที่กำหนดให้แต่ง ข้อนี้นักศึกษาควรหลีกเลี่ยงให้มาก เติมเฉพาะที่จำเป็นเป็นดีที่สุดและไม่เฝือด้วย ข้อสำคัญมีอยู่อย่างนี้
ต่อไปนี้ขอให้ดูตัวอย่างที่ท่านแต่งไว้แล้ว ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดง ถึงการเติมความดังที่กล่าวมาข้างต้น
| ไทย | : เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๒๑ พรรษา ก็ได้ทรงสละราชย์ | 
| 
 | เสด็จออกผนวช ตามโบราณขัตติยราชประเพณีแล้ว | 
| 
 | จึงได้เสด็จลาผนวชนิวัติคืนสู่ราไชควรรย์ กระทำราชาภิเษก | 
| 
 | อีกครั้งหนึ่งเป็นการมโหฬาร ทั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็น | 
| 
 | นํ้าพระทัยของพระองค์ว่า ทรงคำนึงถึง | 
| 
 | พระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ฯ | 
| มคธ | : โส เอกวีสติวสฺโส หุตฺวา รชฺชํ ปหาย อภินิกฺขนฺโต | 
| 
 | อิมสฺมึ ธมฺมวินเย โปราณขตฺติยานํ ปเวณิยา | 
| 
 | ปพฺพชิตฺวา กาลานุรูเปน วตฺตปฺปฏิวตฺตํ จรนฺโต | 
| 
 | อุปฺปพฺพชิตฺวา มหายเสน กตาภิเสโก ราชภาวํ | 
| 
 | ปุนาคมิ ฯ เอวมสฺส จริยา อยํ โข พุทฺธสาสเน | 
| 
 | อภิปฺปสนฺโน ตสฺเสว อาทรํ ภิยฺโยโส กโรตีติ ทีเปติ ฯ | 
| 
 | (สนามหลวง ๒๕๐๕) | 
| ไทย | : เรื่องที่กล่าวมานี้ เป็นต้นเหตุแห่งการสร้างพุทธเจดีย์ | 
| 
 | ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ คือ ประสงค์จะให้พระนครใหม่ | 
| 
 | รุ่งเรืองด้วยวัดวาอารามหรือพระศาสนา “เหมือนเมื่อ | 
| 
 | ครั้งบ้านเมืองดี” หมายความว่าให้เหมือนเช่นมีอยู่ใน | 
| 
 | พระนครศรีอยุธยาในกาลก่อน ข้อนี้พึงเห็นได้ด้วย | 
| 
 | พระราชวัง ก็ดี วัดก็ดี มักสร้างตามแบบอย่างพระนคร- | 
| 
 | ศรีอยุธยา ตลอดจนชื่อวัด ก็มักจะขนานนามที่เคยมีใน | 
| 
 | พระนครศรีอยุธยา | 
| มคธ | : อิจฺเจวมยํ วุตฺตนิทานกถา อิมสฺมึเยว รตนโกสินฺท- | 
| 
 | มหานคเร พุทฺธเจติยานํ การาปนเหตุ อโหสิ ฯ | 
| 
 | กถํ ฯ โส หิ ปฐมจกฺกิวํสิโก ขตฺติโย มหาราชา | 
| 
 | สฺยามิกานมินฺโท, ยถา สิรอยุชฺฌิยมหานครํ อิทฺธํ | 
| 
 | อโหสิ ผีตํ อากิณฺณมนุสฺสํ สมฺปนฺนสสฺสํ, ตเถวมิม0 | 
| 
 | นวราชธานีภูตํ รตนโกสินฺทมหานครํ อารามาทีหิ | 
| 
 | วุฑฺฒึ วิรุฬฺหึ เวปุลฺลํ ปาเปตุกาโม อโหสิ, ยถา จ | 
| 
 | ปุพฺเพ สิรอยุชฺฌิยมหานคเร ตเถว รตนโกสินฺทมหา- | 
| 
 | นคเร อารามาทโย กาเรสิ ฯ นิทสฺสนฌญฺเจตฺถ | 
| 
 | ทฏฺฐพฺพํ ฯ ราชนีเวสนมฺปิ อารามาปิ ยถา สิร- | 
| 
 | อยุชฺฌิยมหานคเร เอวเมว การิตา ; เตสํอารามานํ | 
| 
 | นามานิปิ, ยานิ กานิจิ นามานิ สิริอยุชฺฌิยมหา- | 
| 
 | นคเร ปากฏภูตปุพฺพานิ อเหสุํ, เตสมนุสาเรน | 
| 
 | การิตานิ ฯ | 
| 
 | (สนามหลวง ๒๕๒๕) | 
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙,ราชบัณฑิต). คู่มือ วิชาแปลไทยเป็นมคธ ป.ธ.๔-๙ วิชาแต่งไทยเป็นมคธ ป.ธ.๙. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : บริษัท ฟองทองเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด, ๒๕๔๔.
ที่อยู่ : 23/2 หมู่ 7 โรงเรียนพระปริยัติธรรม 
วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
dummy 02-831-1000 ต่อ 13710