๑. หิริ และ โอตตัปปะ ได้ชื่อว่า ธรรมเป็นโลกบาล เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : เพราะเป็นคุณธรรมที่ทำให้บุคคลรังเกียจและเกรงกลัวต่อบาปทุจริต ไม่กล้าทำความชั่วทั้งในที่ลับ และที่แจ้ง
๒. พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมอะไรไว้สำหรับคุ้มครองโลก? (๒๕๕๕)
ตอบ : ทรงสอนไว้ ๒ คือ
๑. หิริ ความละอายต่อบาป
๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลบาป ฯ
๓. บุพพการีและกตัญญูกตเวทีได้แก่บุคคลเช่นไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ : บุพพการีได้แก่บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน กตัญญูกตเวทีได้แก่บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และตอบแทน ฯ
๔. ธรรมมีอุปการะมากมีอะไรบ้าง ? ที่ว่ามีอุปการะมากนั้นเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ : มี สติ ความระลึกได้ และสัมปชัญญะ ความรู้ตัว ฯเพราะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการทำกิจการงานใด ๆ และเป็นอุปการะให้ธรรมเหล่าอื่นเกิดขึ้น ฯ
๕. บุพพการีและกตัญญูกตเวที ได้แก่บุคคลเช่นไร ? จงยกตัวอย่างมาสัก ๒ คู่ (๒๕๕๒)
ตอบ : บุพพการี ได้แก่บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน กตัญญูกตเวที ได้แก่บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และตอบแทน (ตอบเพียง ๒ คู่)
คู่ที่ ๑ มารดาบิดากับบุตรธิดา
คู่ที่ ๒ ครูอาจารย์กับศิษย์
คู่ที่ ๓ พระราชากับราษฎร
คู่ที่ ๔ พระพุทธเจ้ากับพุทธบริษัท ฯ
๖. การที่บุคคลพบงูพิษแล้วสะดุ้งกลัวว่าจะถูกกัดตาย จัดเป็นโอตตัปปะ ได้หรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? (๒๕๕๑)
ตอบ : ไม่ได้ ฯ เพราะไม่ใช่ความเกรงกลัวต่อบาป ฯ
๗. ในทางโลก ดูคนงามกันที่รูปร่างหน้าตา ในทางพระพุทธศาสนา ดูคนงามกันที่ไหน ? (๒๕๕๐)
ตอบ : ในทางพระพุทธศาสนา ดูคนงามกันที่มีคุณธรรมอันทำให้งาม ๒ ประการ คือ ขันติ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม ฯ
๘. หิริกับโอตตัปปะ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ : ต่างกันอย่างนี้ หิริ คือ ความละอายใจตนเองที่จะประพฤติชั่วผลของความชั่วที่ตนจะได้รับ ฯ
๙. ธรรมมีอุปการะมาก ได้แก่อะไรบ้าง ? บุคคลผู้ขาดธรรมนี้จะเป็นเช่นไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : ได้แก่ สติ ความระลึกได้ และ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว ฯ จะเป็นคนหลงลืม จะทำจะพูดหรือจะคิดอะไรมักผิดพลาด ฯ
๑๐. บุพพการีและกตัญญูกตเวที คือบุคคลเช่นไร ? จัดเป็นคู่ไว้อย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๘)
ตอบ : บุพพการี คือบุคคลผู้ทำอุปการะก่อน กตัญญูกตเวที คือบุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และตอบแทน ฯ จัดเป็นคู่ไว้ดังนี้ บิดามารดา กับ บุตรธิดา, ครูอาจารย์ กับ ศิษย์, พระมหากษัตริย์ กับ ประชาราษฎร์, พระพุทธเจ้า กับพุทธบริษัท, เป็นต้น ฯ
๑๑. ขันติ กับ โสรัจจะ เป็นธรรมทำให้งามได้อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ : ขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยธรรมทั้ง ๒ นี้ ย่อมมีใจหนักแน่นไม่แสดงความวิการออกมาให้ปรากฏ แม้จะประสบความดีใจ เสียใจ ก็อดกลั้นได้ รักษากาย วาจา ใจให้สุภาพสงบเสงี่ยมเป็นปกติไว้ได้ จึงทำให้งาม ฯ
๑๒. บุพพการี ได้แก่บุคคลเช่นไร ? พระพุทธเจ้าทรงดำรงอยู่ในฐานะบุพพการีของพุทธบริษัทอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ : ได้แก่ บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน ฯ พระพุทธเจ้าทรงกระทำอุปการะแก่พุทธบริษัทก่อน ด้วยการทรงแนะนำสั่งสอนให้รู้ดีรู้ชอบตามพระองค์ เพื่อให้ได้บรรลุประโยชน์ทั้ง ๓ คือ ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน จึงชื่อว่าเป็นบุพพการี ฯ
๑. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ก.พาหุสัจจะ ข.อกุศลมูล ค.อินทรียสังวร ฆ.อนัตตา ง.กามฉันท์ ฯ
ตอบ : ก.ความเป็นผู้ศึกษามาก ข.รากเหง้าของอกุศล ค.ความสำรวมอินทรีย์ ฆ.ความเป็นของไม่ใช่ตน ง.ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น
๒. การทำบุญโดยย่อมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ : มี ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล ภาวนา
๓. คำต่อไปนี้มีความหมายว่าอย่างไร? (๒๕๕๕)
๑.สัมปชัญญะ ๒.กตัญญูกตเวที ๓.กายทุจริต๔.มาตาปิตุอุปัฏฐาน ๕.ปุพเพกตปุญญต
ตอบ : ๑.สัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัว
๒.กตัญกตเวที หมายถึง บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และตอบแทน
๓.กายทุจริต หมายถึง ความประพฤติชั่วทางกาย
๔.มาตาปิตุอุปัฏฐาน หมายถึง การบำรุงมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข
๕.ปุพเพกตปุญญตา หมายถึง ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในในปางก่อน ฯ
๔. การสำรวมอินทรีย์ ได้แก่การกระทำอย่างไร? เมื่อกระทำเช่นนั้นแล้วจะได้รับประโยชน์อะไร? (๒๕๕๕)
ตอบ : การสำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดี ยินร้าย เมื่อเห็นรูป ได้ยินเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส กายสัมผัส รู้ธรรมารมณ์ ฯได้ประโยชน์ คือ ไม่เกิดความยินดี ไม่เกิดความยินร้าย ในเวลาเห็นรูป ได้ยินเสียง เป็นต้น ฯ
๕. พระพุทธเจ้าคือใคร ? ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์อย่างไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ : คือท่านผู้สอนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจตามพระธรรมวินัย ฯ ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบัติ ฯ
๖. เห็นผิดจากคลองธรรม คือเห็นอย่างไร ? จัดเข้าในทุจริตข้อไหน ? (๒๕๕๔)
ตอบ : คือเห็นผิดจากความเป็นจริง เช่น เห็นว่า บุญบาปไม่มี บิดามารดาไม่มีพระคุณ เป็นต้น ฯ จัดเข้าในมโนทุจริต ฯ
๗. รากเหง้าของอกุศลเรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? เพราะเหตุใดจึงควรละเสีย ? (๒๕๕๔)
ตอบ : เรียกว่า อกุศลมูล ฯมี โลภะ โทสะ โมหะ ฯเพราะเมื่ออกุศลมูลเหล่านี้มีอยู่ อกุศลอื่นที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้นที่เกิดแล้วก็เจริญ มากขึ้น ฯ
๘. ในรัตนะ ๓ พระธรรม ได้แก่อะไร ? ให้คุณแก่ผู้ปฏิบัติตามอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ : ได้แก่พระธรรมวินัยที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ฯย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ฯ
๙. พระโอวาทของพระพุทธเจ้า หรือที่เรียกกันว่าหัวใจพระศาสนา มีกี่ข้อ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ : มี ๓ ข้อ ฯ คือ
๑. เว้นจากทุกจริต คือประพฤติชั่วด้วยกาย วาจา ใจ
๒. ประกอบสุจริต คือประพฤติดีด้วยกาย วาจา ใจ
๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น
๑๐. ทุจริต คืออะไร ? ความเห็นว่าคุณของบิดามารดาครูบาอาจารย์ไม่มีบุญบาปไม่มี จัดเป็นทุจริตข้อไหน ? (๒๕๕๓)
ตอบ : คือ ประพฤติชั่วด้วยกายวาจาใจ ฯจัดเป็นมโนทุจริต ฯ
๑๑. ไตรลักษณะ ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ : ๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง
๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์
๓. อนัตตตา ความเป็นของใช่ตนฯ
๑๒. อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมีกี่อย่าง ? ข้อที่ว่า “ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์” นั้นคืออย่างไร ? อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมีกี่อย่าง ? ข้อที่ว่า “ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์” นั้นคืออย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : มี ๓ อย่าง ฯคือ ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบัติ ฯ
๑๓. มูลเหตุที่ทำให้บุคคลทำความชั่ว เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : เรียกว่า อกุศลมูล ฯ มี ๑. โลภะ อยากได้
๒. โทสะ คิดประทุษร้ายเขา
๓. โมหะ หลงไม่รู้จริง ฯ เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรละเสีย ด้วยทาน ศีล ภาวนา ฯ
๑๔. พระสงฆ์ในรัตนตรัยมีคุณอย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ : ท่านปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนให้ผู้อื่นกระทำตามด้วย ฯ
๑๕. โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ อย่างมีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ : มี ๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชั่วทางกาย วาจา ใจ
๒. ประกอบสุจริต คือประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจ
๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น ฯ
๑๖. มโนสุจริตคืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ : คือ การประพฤติชอบด้วยใจ ฯ มี ๑. ไม่โลภอยากได้ของเขา ๒. ไม่พยาบาทปองร้ายเขา ๓. เห็นชอบตามคลองธรรม ฯ
๑๗. คำว่า พระธรรม ในรัตนะ ๓ คืออะไร ? มีคุณอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ : คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ฯ มีคุณ คือ รักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ฯ
๑๘. โอวาทของพระพุทธเจ้ามีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๙)
ตอบ : มี ๓ อย่าง คือ ๑.เว้นจากทุจริต คือ ประพฤติชั่วด้วยกาย ๒.ประกอบสุจริต คือ ประพฤติชอบด้วยกายวาจา ใจ ๓.กระทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลงเป็นต้น ฯ
๑๙. คนเราจะประพฤติดีหรือประพฤติชั่วมีมูลเหตุมาจากอะไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ : คนประพฤติดีมีมูลเหตุมาจากอโลภะ อโทสะ อโมหะ ส่วนคนประพฤติชั่วมีมูลเหตุมาจากโลภะ โทสะ โมหะ ฯ
๒๐. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ชื่อว่ารัตนะ เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : เพราะเป็นของมีคุณค่าและหาได้ยาก เหมือนเพชรนิลจินดามีค่ามาก นำประโยชน์ และความสุขมาให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ ฯ
๒๑. เพราะเหตุไร หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาจึงสอนเรื่องการทำใจของตให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง ? (๒๕๔๗)
ตอบ : เพราะใจเป็นธรรมชาติสำคัญ ถ้าใจเศร้าหมอง ก็เป็นเหตุให้ทำชั่ว การทำชั่วมีผล เป็นความทุกข์ ถ้าใจผ่องแผ้ว ก็เป็นเหตุให้ทำดี การทำดีมีผลเป็นความสุข ฯ
๒๒. บุญกิริยาวัตถุ คืออะไร ? ในบุญกิริยาวัตถุ ๓ นั้น ข้อไหนกำจัดความโลภ ความโกรธ และ ความหลง ? (๒๕๔๗)
ตอบ : คือ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ ฯ ทานมัยกำจัดความโลภ สีลมัยกำจัดความโกรธ ภาวนามัยกำจัดความหลง ฯ
๑. เหตุให้เกิดทุกข์ในอริยสัจ คืออะไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : คือ ตัณหา ความทะยานอยาก
๒. ผู้จะดำรงความยุติธรรมไว้ได้ ต้องประพฤติอย่างไรบ้าง? (๒๕๕๕)
ตอบ : ต้องประพฤติดังนี้
๑. ไม่ลำเอียงเพราะรักใคร่กัน อันเรียกว่า ฉันทาคติ
๒. ไม่ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน อันเรียกว่า โทสาคติ
๓.ไม่ลำเอียงเพราะเขลา อันเรียกว่า โมหาคติ
๔.ไม่ลำเอียงเพราะกลัว อันเรียกว่า ภยาคติ ฯ
๓. ทุกข์ในอริยสัจ ๔ คืออะไร ? เหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ : คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ คือ ตัณหาความทะยานอยาก ฯ
๔. พรหมวิหาร ๔ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ : มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ฯเพราะเป็นธรรมเครื่องอยู่ของท่านผู้ใหญ่ ฯ
๕. นักเรียนผู้ต้องการจะเรียนหนังสือให้ได้ผลดี จะนำอิทธิบาทมาใช้อย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ : ในเบื้องต้น ต้องสร้างฉันทะคือความพอใจในการศึกษาเล่าเรียนก่อน เมื่อมีความพอใจ จะเป็นเหตุให้ขยันศึกษาหาความรู้ที่เรียกว่าวิริยะและเกิดความใฝ่ใจใคร่รู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ที่เรียกว่าจิตตะ และเมื่อเรียนรู้แล้วก็ต้องนำความรู้นั้นมาใคร่ครวญพิจารณาให้เข้าใจเหตุและผลอย่างถูกต้องที่เรียกว่า วิมังสา ดั่งนี้ก็จะประสบผลสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียนได้ ฯ
๖. ปัญญาอันเห็นชอบอย่างไร จึงชื่อว่ามรรคในอริยสัจ ๔ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : ปัญญาอันเห็นชอบว่าสิ่งนี้ทุกข์ สิ่งนี้เหตุให้ทุกข์เกิด สิ่งนี้ความดับทุกข์ สิ่งนี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ ได้ชื่อว่ามรรค ฯ เพราะเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ฯ
๗. อินทรียสังวร คือสำรวมอินทรีย์ อินทรีย์ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ : ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฯ
๘. ธรรมหมวดหนึ่ง เป็นเหตุให้ผู้ประพฤติขาดความเที่ยงธรรมชื่อว่า อะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ : ชื่อว่า อคติ ความลำเอียง ฯ มี
๑. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักใคร่กัน
๒. โทสาคติ ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน
๓. โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา
๔. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว ฯ
๙. ธาตุ ๔ มีธาตุอะไรบ้าง ? ธาตุมีลักษณะแข้นแข็ง คือธาตุอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ : คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ฯ คือ ธาตุดิน ฯ
๑๐. อิทธิบาท คือ ธรรมเป็นคุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ของบุคคล ส่วนธรรมอันเป็นเครื่องกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
ตอบ : คือ นิวรณ์ ๕ ฯ มี ๑. กามฉันท์ พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น ๒. พยาบาท ปองร้ายผู้อื่น ๓. ถีนมิทธะ ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม ๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านและรำคาญ ๕. วิจิกิจฉา ลังเลไม่ตกลงได้ ฯ
๑๑. ปธานคือความเพียร ๔ มีอะไรบ้าง ? งดเหล้าเข้าพรรษาอนุโลมเข้าในปธานข้อไหน ? (๒๕๔๙)
ตอบ : มี ๑.สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน
๒.ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
๓.ภาวนาปธาน พียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน
๔.อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อมฯ อนุโลมเข้าในปหานปธาน ฯ
๑๒. ธรรม ๔ อย่าง ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ ข้อว่า “คบสัตบุรุษ คือคนดี” นั้น จะนำไปสู่ความเจริญได้อย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : เมื่อคบสัตบุรุษแล้วย่อมเป็นเหตุให้คิดดีพูดดีทำดี อันก่อให้เกิดความสุขความเจริญทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน ทั้งยังให้ถึงความเจริญอย่างที่สุดคือพระนิพพานได้ ฯ
๑๓. ปัจจยปัจจเวกขณะ หมายความว่าอย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : หมายความว่า พิจารณา (ถึงคุณและโทษของปัจจัย ๔) ก่อน จึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และเภสัช ไม่บริโภคด้วยตัณหา ฯ
๑. อภิณหปัจจเวกขณ์ คือข้อที่ควรพิจารณาเนือง ๆ ๕ อย่าง ทรงสอนให้พิจารณาอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ : ทรงสอนให้พิจารณา
๑.ความแก่ ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
๒.ความเจ็บไข้ ว่าเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
๓.ความตาย ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
๔.ความพลัดพราก ว่าเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น
๕.กรรม ว่าเรามีกรรมเป็นของตัว เราทำดีจักได้ดีทำชั่วจักได้ชั่ว
๒. ขันธ์ ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? ย่อเป็น ๒ อย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ อย่างนี้คือ รูปขันธ์ คงเป็นรูป เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ ๔ ขันธ์นี้เป็นนาม
๓. คิดอย่างไรเรียกว่าพยาบาท? คิดอย่างนั้นเกิดโทษอะไร? (๒๕๕๕)
ตอบ : คิดปองร้ายผู้อื่น ฯ เกิดโทษคือปิดกั้นจิตใจไม่ให้บรรลุความดี ฯ
๔. อภิณหปัจจเวกขณ์ข้อว่า ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ดังนี้ ผู้พิจารณาได้รับประโยชน์อย่างไร ? จงอธิบาย (๒๕๕๔)
ตอบ : ได้รับประโยชน์ คือ สามารถบรรเทาความพอใจรักใคร่ในของรักของชอบใจและป้องกันความทุกข์โทมนัส ในเวลาเมื่อตนต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ฯ
๕. ธรรมเป็นกำลัง ๕ อย่าง คืออะไรบ้าง ? ธรรม ๕ อย่างนั้น เรียกว่าอินทรีย์ เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : คือ ๑. สัทธา ความเชื่อ
๒. วิริยะ ความเพียร
๓. สติ ความระลึกได้
๔. สมาธิ ความตั้งใจมั่น
๕. ปัญญา ความรอบรู้ ฯ เพราะเป็นใหญ่ในกิจของตน ฯ
๖. ภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่จะต้องมีอินทรียสังวร คือสำรวมอินทรีย์ สำรวมอินทรีย์นั้น คืออย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ : คือระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงำได้ ในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรสถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ ฯ
๗. ควรพิจารณาทุก ๆ วันว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทั้งสิ้น ข้อความนี้อยู่ในหมวดธรรมอะไร ? ท่านให้พิจารณาอย่างนี้เพื่ออะไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ : อยู่ในธรรมหมวดอภิณหปัจจเวกขณ์ ๕ ฯ เพื่อบรรเทาความยึดมั่นถือมั่นว่า สิ่งนั้น คนนั้น เป็นที่รักของเรา จักไม่ต้องเสียใจในเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้น คนนั้น จริง ๆ ฯ
๘. อุทธัจจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านและรำคาญ จัดเข้าในขันธ์ไหนในขันธ์ ๕ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ : จัดเข้าในสังขารขันธ์ ฯ เพราะความฟุ้งซ่านและรำคาญ เป็นเจตสิกธรรมที่เกิดขึ้นกับใจ ฯ
๙. ขันธ์ ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? ย่อเป็น ๒ ได้อย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : ได้แก่ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และ วิญญาณขันธ์ ฯ รูปขันธ์จัดเป็นรูป ที่เหลือจัดเป็นนาม ฯ
๑๐. ในพระพุทธศาสนา บุคคลผู้ฆ่ามารดาบิดา ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำอนันตริยกรรม จะได้รับโทษอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ : จะได้รับโทษคือ ต้องไปสู่ทุคติ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ฯ
๑๑. ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี เรียกว่าอะไร ? ความดีที่ถูกกั้นไว้ไม่ให้บรรลุ หมายถึงความดีอย่างไหน ? (๒๕๔๗)
ตอบ : เรียกว่า นิวรณ์ ฯ หมายถึงความดีทุกๆ อย่าง แต่เมื่อกล่าวโดยตรงได้แก่สมาธิ คือการทำจิตใจให้สงบ ฯ
๑. อายตนะภายใน ๖ ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ : ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฯ
๒. คารวะ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? ข้อว่า คารวะในความศึกษา หมายถึงอะไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : คือ ความเคารพ เอื้อเฟื้อ ฯ มี ๖ อย่าง ฯ หมายถึง ความเคารพ เอื้อเฟื้อในไตรสิกขา ฯ
๑. อริยทรัพย์ คือทรัพย์เช่นไร ? เมื่อเทียบกับทรัพย์สินมีเงินทอง เป็นต้น ดีกว่ากันอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ : คือ คุณงามความดีอย่างประเสริฐที่เกิดมีขึ้นในสันดาน มี ศรัทธา ศีลเป็นต้น ฯดีกว่ากัน เพราะเป็นคุณธรรมเครื่องบำรุงจิตให้อบอุ่น ไม่ต้องกังวล เดือดร้อน ใครจะแย่งชิงไปไม่ได้ ใช้เท่าใดก็ไม่ต้องกลัวหมดสิ้น ทั้งสามารถติดตามไปได้ถึงชาติหน้า เป็นที่พึ่งในสัมปรายภพได้ด้วย ฯ
๒. อปริหานิยธรรม คืออะไร ? ข้อที่ ๔ ความว่าอย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : คือ ธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว ฯ ข้อที่ ๔ ความว่า ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ใหญ่เป็นประธานในสงฆ์ เคารพนับถือภิกษุเหล่านั้น เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน ฯ
๓. สาราณิยธรรม แปลว่าอะไร ? ธรรมข้อนี้ย่อมอำนวยผลแก่ผู้ปฏิบัติตามอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ : ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง ฯ ทำผู้ปฏิบัติตามให้เป็นที่รัก เป็นที่เคารพของผู้อื่น เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกัน เป็นไปเพื่อความไม่วิวาทกันและกัน เป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียงกัน เป็นไปเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฯ
๑. สัมมาวายามะ เพียรชอบ คือเพียรอย่างไร? (๒๕๕๕)
ตอบ : เพียรในที่ ๔ สถาน (สัมมัปปธาน ๔) คือ
๑.เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น
๒.เพียรละบาปทีเกิดขึ้นแล้ว
๓.เพียรให้กุศลเกิดขึ้น
๔.เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ฯ
๒. โลกธรรม ๘ มีอะไรบ้าง? (๒๕๕๕)
ตอบ : คือ ๑.มีลาภ ๒.ไม่มีลาภ ๓.มียศ ๔.ไม่มียศ ๕.นินทา ๖.สรรเสริญ ๗.สุข ๘.ทุกข์ ฯ
๓. มรรคมีองค์แปดจัดเข้าในสิกขา ๓ ได้หรือไม่ ? ถ้าได้จงจัดมาดู (๒๕๕๐)
ตอบ : ได้ ฯ จัดดังนี้
สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ จัดเข้าในปัญญาสิกขา
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จัดเข้าในสีลสิกขา
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ จัดเข้าในจิตตสิกขา ฯ
๔. ในมรรคมีองค์ ๘ คำว่า “เพียรชอบ” คือเพียรอย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : คือ เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน
เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน
เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม ฯ
๖. โลกธรรม คืออะไร ? เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรพิจารณาอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ : คือ ธรรมที่ครอบงำสัตวโลกอยู่ และสัตวโลกย่อมเป็นไปตามธรรมนั้น ฯ ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ควรพิจารณาว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็นจริง อย่าให้มันครอบงำจิตได้ คืออย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายินร้ายในส่วนเป็นจริง อย่าให้มันครอบงำจิตได้ คืออย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายินร้ายในส่วนที่ไม่ปรารถนา ฯ
๑. มละ คืออะไร ? เป็นศิษย์ได้ดีแล้วทำมึนตึงกับอาจารย์ จัดเข้าในมละอย่างไหน และควรชำระมละอย่างนั้นด้วยธรรมอะไร ? (๒๕๕๒)(๒๕๕๐)
ตอบ : มละคือมลทิน ฯ จัดเข้าใน มักขะ ลบหลู่คุณท่าน และควรชำระด้วยกตัญญูกตเวทิตา ความรู้คุณท่านแล้วตอบแทน ฯ
๑. บรรพชิตผู้พิจารณาเนือง ๆ ว่า วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำไรอยู่ จะได้รับประโยชน์อะไร ?(๒๕๕๖)
ตอบ : จะได้รับประโยชน์คือเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร งดเว้นสิ่งที่เป็น ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์
๑. มิตรแท้ มีกี่จำพวก ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ : มี ๔ จำพวก ฯ คือ
๑.มิตรมีอุปการะ ๒.มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข ๓.มิตรแนะประโยชน์ ๔.มิตรมีความรักใคร่
๒. คุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่นไว้ได้ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ : มี ๑.ทาน ให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
๒.ปิยวาจา เจรจาวาจาที่อ่อนหวาน
๓.อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
๔.สมานัตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว
๓. ตระกูลอันมั่งคั่งจะตั้งนานไม่ได้ เพราะเหตุอะไร? (๒๕๕๕)
ตอบ : เพราะเหตุ ๔ อย่าง คือ
๑.ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว
๒.ไม่บูรณะพัสดุที่คร่ำคร่า
๓.ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ
๔.ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลให้เป็นแม่เรือนพ่อเรือน ฯ
๔. การอยู่ครองเรือนนั้น ควรมีธรรมอะไร? อะไรบ้าง? (๒๕๕๕)
ตอบ : ควรมีฆราวาสธรรม ๔ ฯ คือ
๑.สัจจะ ความสัตย์ซื่อต่อกัน
๒.ทมะ การรู้จักข่มจิตของตน
๓.ขันติ ความอดทน
๔.จาคะ การสละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน ฯ
๕. ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจของผู้อื่นไว้ได้เรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ : เรียกว่า สังคหวัตถุ ฯ มี
๑. ทาน ให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
๒. ปิยวาจา เจรจาวาจาที่อ่อนหวาน
๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว
๖. จงจับคู่ข้อทางซ้ายมือกับข้อทางขวามือให้ถูกต้อง(๒๕๕๓)
ก. จะทำดีทำชั่ว ก็ต้องคล้อยตาม ๑. มิตรดีแต่พูด
ข. ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๒. มิตรหัวประจบ
ค. สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๓. มิตรมีความรักใคร่
ง. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว ๔. มิตรมีอุปการะ
จ. ทุกข์ ๆ ด้วย สุข ๆ ด้วย ๕. มิตรแนะประโยชน์
ตอบ : ข้อ ก. คู่กับ ข้อ ๒.
ข้อ ข. คู่กับ ข้อ ๔
ข้อ ค คู่กับ ข้อ ๑
ข้อ ง คู่กับ ข้อ ๕
ข้อ จ คู่กับ ข้อ ๓.
๗. ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบันเรียกว่าอะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๒)
ตอบ : เรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ฯ มีดังนี้
๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ในการประกอบกิจเครื่องเลี้ยงชีวิตก็ดี ในการศึกษาเล่าเรียนก็ดี ในการทำธุระหน้าที่ของตนก็ดี
๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา คือรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ด้วยความหมั่น ไม่ให้เป็นอันตรายก็ดี รักษาการงานของตน ไม่ให้เสื่อมเสียไปก็ดี
๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว
๔. สมชีวิตา ความเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้ไม่ให้ ฝืดเคืองนัก ไม่ให้ฟูมฟายนัก ฯ
๘. ข้อว่า “แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้” ดังนี้ เป็นลักษณะของมิตรแท้ ประเภทใด ? (๒๕๕๑)
ตอบ : มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ฯ
๙. คุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่นไว้ได้ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ : คือ สังคหวัตถุ ๔ ฯ มี
๑. ทาน ให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน
๒. ปิยวาจา เจรจาวาจาที่อ่อนหวาน
๓. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
๔. สมานัตตตา ความเป็นคนมีตนเสมอไม่ถือตัว ฯ
๑๐. คิหิปฏิบัติ คืออะไร ? หมวดธรรมต่อไปนี้ คือ ๑. อิทธิบาท ๔ ๒. สังคหวัตถุ ๔ ๓. อธิษฐานธรรม ๔ ๔.ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๕. ปาริสุทธิศีล ๔ หมวดไหนมีในคิหิปฏิบัติ ? (๒๕๔๙)
ตอบ : คือ หลักปฏิบัติของคฤหัสถ์ ฯ ข้อ ๒. และข้อ ๔. มีในคิหิปฏิบัติ ฯ
๑๑. นาย ก เป็นผู้ฉลาดในการเล่นพนันฟุตบอล เขาหวังให้นาย ข ผู้เป็นเพื่อน มีเงินทองไว้ก่อร่างสร้างตัว จึงชักชวนนาย ข ให้เล่นด้วย นาย ก จัดเข้าในประเภทมิตรแนะประโยชน์ได้หรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ :ไม่ได้ ฯ เพราะ นาย ก กำลังชักชวนในทางฉิบหาย ผิดลักษณะมิตรแนะประโยชน์ ฯ
๑๒. บุคคลจะได้รับประโยชน์ปัจจุบัน จะต้องปฏิบัติตามหลักธรรมอะไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : ต้องปฏิบัติตามหลักทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ ประการ คือ
๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น ในการประกอบกิจการงานในการศึกษาเล่าเรียน ในการทำธุระหน้าที่ของตน
๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา ทั้งทรัพย์และการงาน ไม่ให้เสื่อมไป
๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว
๔. สมชีวิตา ความเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หาได้ ฯ
๑๓. มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความสุข พระพุทธศาสนาแสดงความสุขของผู้ครองเรือนไว้อย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : แสดงไว้ ๔ อย่าง คือ
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
๒. สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภค
๓. สุขเกิดแต่ความไม่ต้องเป็นหนี้
๔. สุขเกิดแต่ประกอบการงานที่ปราศจากโทษ ฯ
๑. ศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นนิตย์ คือศีลอะไร ? ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ : คือ ศีล ๕ ฯ ได้แก่
๑.เว้นจากทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
๒.เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย
๓.เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔.เว้นจากพูดเท็จ
๕.เว้นจากดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๒. อุบาสกอุบาสิกา ได้แก่บุคคลเช่นไร ? การค้าขายที่ห้ามอุบาสกอุบาสิกาประกอบ คืออะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ : ได้แก่ คฤหัสถ์ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ฯคือ
๑. ค้าขายเครื่องประหาร
๒. ค้าขายมนุษย์
๓. ค้าขายสัตว์เป็นสำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร
๔. ค้าขายน้ำเมา
๕. ค้าขายยาพิษ ฯ
๓. ศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นนิตย์ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ : มี ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์
๒. เว้นจากการลักทรัพย์
๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๔. เว้นจากการพูดปด
๕. เว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ฯ
๔. มิจฉาวณิชชา คืออะไร ? การค้าขายเด็ก การค้าขายยาเสพติด การค้าขายเบ็ดตกปลา จัดเป็นมิจฉาวณิชชาข้อใด? (๒๕๕๒)
ตอบ :มิจฉาวณิชชา คือการค้าขายไม่ชอบธรรม ฯ
การค้าขายเด็ก จัดเข้าในค้าขายมนุษย์
การค้าขายยาเสพติด จัดเข้าในค้าขายน้ำเมา
๕. การค้าขายสุรา เป็นอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในทางพระพุทธศาสนา มีความเห็นไว้อย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ : ทางพระพุทธศาสนา จัดเป็นมิจฉาวณิชชา การค้าขายไม่ชอบธรรมเป็นข้อห้าม อุบาสกไม่ควรประกอบ ฯ
๖. เมื่อแสวงหาโภคทรัพย์ได้โดยทางที่ชอบแล้ว ควรทำอะไรบ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ในโภคทรัพย์ที่ได้มานั้น ? (๒๕๕๐)
ตอบ : ควรทำ ๑. เลี้ยงตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา บ่าวไพร่ ให้เป็นสุข
๒. เลี้ยงเพื่อนฝูงให้เป็นสุข
๓. บำบัดอันตรายที่เกิดแต่เหตุต่าง ๆ
๔. ทำพลี ๕ อย่าง คือ
๔.๑ ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ
๔.๒ อติถิพลี ต้อนรับแขก
๔.๓ ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย
๔.๔ ราชพลี ถวายเป็นหลวง มีภาษีอากรเป็นต้น
๔.๕ เทวตาพลี ทำบุญอุทิศให้เทวดา
๕. บริจาคทานในสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบ ฯ
๗. การค้าขายสัตว์เพื่อเอาไปฆ่าเป็นอาหาร เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่ ? เพราะเหตุไร ? อุบาสกควรปฏิบัติอย่างไรในเรื่องนี้ ? (๒๕๕๐)
ตอบ : ไม่ผิด ฯ เพราะไม่ได้เป็นผู้ฆ่าหรือสั่งให้ฆ่า ฯอุบาสกควรเว้นการค้าขายชนิดนี้เสีย ฯ
๑. จงบอกโทษของการดื่มสุรามาสัก ๓ ข้อ(๒๕๕๓)
ตอบ : มีโทษดังนี้ (ให้ตอบเพียง ๓ ข้อ)
๑. เสียทรัพย์ ๒. ก่อการทะเลาะวิวาท ๓. เกิดโรค๔. ต้องติเตียน ๕. ไม่รู้จักอาย ๖. ทอนกำลังปัญญา ฯ
๒. อบายมุข คืออะไร ? คบคนชั่วเป็นมิตรมีโทษอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : คือ ทางแห่งความเสื่อม ฯ มีโทษอย่างนี้ คือ
๑. นำให้เป็นนักเลงการพนัน
๒. นำให้เป็นนักเลงเจ้าชู้
๓. นำให้เป็นนักเลงเหล้า
๔. นำให้เป็นคนลวงเขาด้วยของปลอม
๕. นำให้เป็นคนลวงเขาซึ่งหน้า
๖. นำให้เป็นคนหัวไม้ ฯ
๓. ทิศ ๖ ในคิหิปฏิบัติ มีอะไรบ้าง ? แต่ละทิศหมายถึงใคร ? (๒๕๕๐)
ตอบ : มี ดังนี้
๑. ทิศเบื้องหน้า หมายถึงมารดาบิดา
๒. ทิศเบื้องขวา หมายถึงอาจารย์
๓. ทิศเบื้องหลัง หมายถึงบุตรภรรยา
๔. ทิศเบื้องซ้าย หมายถึงมิตร
๕. ทิศเบื้องต่ำ หมายถึงบ่าว
๖. ทิศเบื้องบน หมายถึงสมณพราหมณ์ ฯ
๔. คฤหัสถ์และบรรพชิต มีหน้าที่จะพึงปฏิบัติแก่กันและกันอย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๗)
ตอบ : คฤหัสถ์ควรบำรุงบรรพชิตด้วยการทำ การพูด การคิดประกอบด้วยเมตตา ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู คือ มิได้ห้ามเข้าบ้านเรือน ด้วยให้อามิสทาน ส่วนบรรพชิตควรอนุเคราะห์ต่อคฤหัสถ์ด้วยห้ามไม่ให้กระทำความชั่ว ให้ตั้งอยู่ในความดี อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ทำสิ่งที่เคยฟังมาแล้วให้แจ่ม บอกทางสวรรค์ให้
ที่อยู่ : 23/2 หมู่ 7 โรงเรียนพระปริยัติธรรม
วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
dummy 02-831-1000 ต่อ 13710