๑. การเรียนรู้พุทธประวัติได้ประโยชน์อย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : ได้ประโยชน์ ๒ ประการ คือ
๑. ในด้านการศึกษา ทำให้ทราบความเป็นมาของพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับการศึกษาตำนานความเป็นมาของชาติตน ทำให้บุคคลได้ทราบว่าชาติของตนเป็นมาอย่างไร มีความสำคัญอย่างไรเป็นต้น
๒. ในด้านปฏิบัติ ทำให้บุคคลได้แนวในการดำเนินชีวิตตามพระพุทธจริยา อันเป็นปฏิปทานำความสุขความเจริญมาให้แก่บุคคล ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ ฯ
๒. พุทธประวัติว่าด้วยเรื่องอะไร ? มีความสำคัญอย่างไรที่ต้องเรียนรู้ ? (๒๕๔๙)
ตอบ : ว่าด้วยเรื่องความเป็นมาของพระพุทธเจ้า เป็นการแสดงพระพุทธจริยาในด้านต่างๆ ของพระองค์ให้ปรากฏ ฯ มีความสำคัญในการศึกษาและปฏิบัติพระพุทธศาสนา เพราะแสดงพระพุทธจริยาให้ปรากฏเช่นเดียวกับตำนานย่อมมีความสำคัญต่อชาติของตนที่ให้รู้ได้ว่าชาติได้เป็นมาแล้วอย่างไร ฯ
๑. คนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็นกี่วรรณะ ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ : แบ่งเป็น ๔ วรรณะ ฯคือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร์ ฯ
๒. ประชาชนในชมพูทวีป มีกี่จำพวก ? จำพวกไหนบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ : มี ๒ จำพวก คือ
๑. มิลักขะ เจ้าของถิ่นเดิม
๒. อริยกะ พวกอพยพมาใหม่ ฯ
(หรือจะตอบว่า มี ๔ จำพวก หรือวรรณะ ๔ ก็ได้)
๓. ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากชนชาติใด ? ชนชาตินั้นมาตั้งถิ่นฐานในชมพูทวีปได้อย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ : สืบเชื้อสายมาจากชนชาติอริยกะ ฯ ชาวอริยกะนั้นเป็นผู้เจริญด้วยความรู้และขนบธรรมเนียม มีอำนาจมากกว่าพวกมิลักขะเจ้าของถิ่นเดิม เมื่อข้ามภูเขาหิมาลัยมาก็รุกไล่พวกมิลักขะ เจ้าของถิ่นเดิมให้ถอยร่นลงมาทางใต้แล้วเข้าตั้งถิ่นฐานในชมพูทวีปแทน ฯ
๔. คนในชมพูทวีปแบ่งเป็นกี่วรรณะ ? อะไรบ้าง ? พระพุทธบิดาอยู่ในวรรณะอะไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ : แบ่งเป็น ๔ วรรณะ ฯ คือ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร ฯ อยู่ในวรรณะกษัตริย์ ฯ
๕. ประชาชนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็นกี่วรรณะ ? อะไรบ้าง ? มีหน้าที่ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : แบ่งออกเป็น ๔ วรรณะ คือ
๑. กษัตริย์ มีหน้าที่ปกครอง
๒. พราหมณ์ มีหน้าที่ทางฝึกสอนและทำพิธี
๓. แพศย์ มีหน้าที่ทางทำนาค้าขาย
๔. ศูทร มีหน้าที่รับจ้าง ฯ
๖. พระพุทธเจ้าสืบเชื้อสายมาจากชนชาติใด ? ชนชาตินั้นมาตั้งถิ่นฐานในชมพูทวีปได้อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ : สืบเชื้อสายมาจากชนชาติอริยกะ ชาวอริยกะนั้นเป็นผู้เจริญด้วยความรู้และขนบธรรมเนียม มีฤทธิ์มีอำนาจมากกว่าพวกมิลักขะเจ้าของถิ่นเดิม เมื่อข้ามภูเขาหิมาลัยมาก็รุกไล่พวกมิลักขะ เจ้าของถิ่นเดิมให้ถอยเลื่อนลงมาทางใต้ แล้วเข้าตั้งถิ่นฐานในชมพูทวีปแทน ฯ
๑. พระพุทธบิดาทรงมีพระนามว่าอะไร ? ทรงปกครองแคว้นอะไร ? เมืองหลวงชื่ออะไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : พระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ ฯแคว้นสักกะ ฯชื่อกบิลพัสดุ์ ฯ
๒. บุคคลต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับพระมหาบุรุษในฐานะใด? (๒๕๕๕)
ก.พระเจ้าสีหหนุ ข.พระนางมหาปชาบดีโคตมีค.พระนางยโสธรา ฆ.นายฉันนะ ง.นางสุชาดา
ตอบ : ก. พระเจ้าสีหหนุ เป็นพระเจ้าปู่
ข. พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นพระน้านาง หรือพระมารดาเลี้ยง
ค. พระนางยโสธร เป็นพระชายา
ฆ. นายฉันนะ เป็นผู้ตามเสด็จคราวเสด็จออกบรรพชา
ง.นางสุชาดา เป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาสก่อนแต่ตรัสรู้
๓. พระนามและนามดังต่อไปนี้ เกี่ยวข้องกับเจ้าชายสิทธัตถะอย่างไร ? (๒๕๔๗)
ก. พระเจ้าสุทโธทนะ
ข. พระนางเจ้าสิริมหามายา
ค. พระนันทะ
ง. วิศวามิตร
จ. นายฉันนะ
ตอบ : ก. พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระราชบิดา
ข. พระนางเจ้าสิริมหามายา เป็นพระราชมารดา
ค. พระนันทะ เป็นพระกนิษฐภาดาต่างพระมารดา
ง. วิศวามิตร เป็นครูผู้สอนศิลปวิทยาเมื่อยังทรงพระเยาว์
จ. นายฉันนะ เป็นผู้ตามเสด็จในคราวออกผนวช ฯศาสนพิธี
๑. อสิตดาบส อาฬารดาบส และอุทกดาบส มีความเกี่ยวข้องกับพระมหาบุรุษอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : อสิตดาบส เป็นผู้คุ้นเคยเป็นที่เคารพนับถือของศากยสกุล ในเวลาที่พระมหาบุรุษประสูติใหม่ๆ ท่านได้ไปเยี่ยม และได้พยากรณ์ทำนายพระลักษณะของพระมหาบุรุษ ว่ามีคติเป็น ๒ ก่อนคนอื่นทั้งหมด อาฬารดาบสและอุทกดาบส เป็นผู้ที่พระองค์ได้เคยอยู่อาศัยศึกษาลัทธิของท่านทั้ง ๒ ฯ
๒. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๕ วัน พระราชบิดาโปรดให้ทำอะไรเพื่อพระราชกุมารบ้าง ? (๒๕๕๖)
ตอบ : โปรดให้ชุมนุมพระญาติวงศ์ และเสนามาตย์พร้อมกับเชิญพราหมณ์ร้อยแปดคนมาฉันโภชนาหาร แล้วทำมงคลรับพระลักษณะ และขนานพระนามว่าสิทธัตถกุมาร ฯ
๓. เมื่อพระมหาบุรุษมีพระชนมายุได้ ๗ ปี ๑๖ ปี ๒๙ ปี มีเหตุการณ์สำคัญเกิดแก่พระองค์อะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ : เมื่อพระชนมายุได้ ๗ ปี พระราชบิดาตรัสสั่งให้ขุดสระโบกขรณี ๓ สระในพระราชวัง ให้เป็นที่เล่นสำราญแก่พระองค์เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ ปี พระราชบิดาตรัสสั่งให้สร้างปราสาท ๓ หลังเพื่อเป็นที่เสด็จอยู่ใน ๓ ฤดู และตรัสขอพระนางยโสธรามาอภิเษกเป็นพระชายาเมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ ปี ได้พระโอรสนามว่าพระราหุลกุมาร และเสด็จออกบรรพชา ฯ
๔. ภายใน ๗ วัน หลังจากสิทธัตถะราชกุมารประสูติแล้ว มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นแก่พระองค์อย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ : ๑. เมื่อประสูติแล้วใหม่ ๆ อสิตดาบส (หรือกาฬเทวิลดาบส) เข้าไปเฝ้าเยี่ยมและทำนายพระลักษณะ
๒. วันที่ ๕ พระเจ้าสุทโธทนะเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหารและขนานพระนามพระราชกุมารว่าสิทธัตถกุมาร
๓. วันที่ ๗ พระราชมารดาทิวงคต ฯ
๕. อสิตดาบสได้ทำนายสิทธัตถกุมารไว้อย่างไร ? (๒๕๕๑)
ตอบ : ทำนายไว้ว่า ถ้าอยู่ครองสมบัติ จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิถ้าออกบวช จักได้เป็นพระศาสดาเอกในโลก ฯ
๖. เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติได้ ๕ วัน และ ๗ วัน มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น ? (๒๕๕๐)
ตอบ : เมื่อประสูติได้ ๕ วัน พระราชบิดาเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมาฉันโภชนาหาร ทำนายพระลักษณะและขนานพระนาม และเมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาเสด็จสวรรคต ฯ
๗. พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันใด ? ที่ไหน ? (๒๕๕๐)
ตอบ : ประสูติในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปีตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๕ ปีและปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน ๖ ปีตั้งต้นพุทธศก ฯส่วนสถานที่นั้น คือ ประสูติที่ใต้ร่มไม้สาละในลุมพินีวัน ระหว่าง กรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะตรัสรู้ที่ใต้ต้นโพธิ์ (อัสสัตถพฤกษ์) ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ปรินิพพานที่ป่าไม้สาละ (สาลวโนทยาน) เมืองกุสินารา ฯ
๘. เจ้าชายนันทกุมารกับเจ้าหญิงรูปนันทา เป็นพระโอรสและพระธิดาของใคร ? มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าชายสิทธัตถกุมารอย่างไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ : เป็นพระโอรสและพระธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตมี ฯ มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าชายสิทธัตถกุมารโดยเป็นพระกนิฏฐภาดาและ กนิฏฐภคินีต่างพระมารดา ฯ
๙. เหตุการณ์ที่เงาต้นหว้าในเวลาบ่ายแล้วไม่คล้อยไปตามตะวัน กลับตั้งอยู่ดุจเวลาเที่ยง ปรากฏเมื่อคราวพระมหาบุรุษทรงทำอะไรอยู่ ? (๒๕๕๐)
ตอบ : ทรงนั่งขัดบัลลังก์สมาธิ เจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ทำปฐมฌาน ให้เกิดขึ้น ฯ
๑๐. พระนามและนามต่อไปนี้ เกี่ยวข้องกับเจ้าชายสิทธัตถะอย่างไร ? (๒๕๔๙)
๑. มหาปชาบดีโคตมี
๒. อสิตดาบส (กาฬเทวิลดาบส)
ตอบ : ๑. มหาปชาบดีโคตมี เป็นพระมาตุจฉา คือพระน้านางของเจ้าชายสิทธัตถะ
๒. อสิตดาบส (กาฬเทวิลดาบส) คือ ดาบสผู้เป็นที่คุ้นเคยของราชสกุล ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติใหม่ๆ และพยากรณ์ว่า พระราชกุมารจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช หรือศาสดาเอกในโลก ฯ
๑๑. ในวันเสด็จแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะบังคมสิทธัตถราชกุมารผู้ประทับนั่งใต้ต้นหว้า เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๘)
ตอบ : เพราะทรงเห็นอัศจรรย์ในขณะที่สิทธัตถราชกุมารประทับนั่งใต้ต้นหว้า เงาของต้นหว้าไม่คล้อยไปตามตะวัน แม้จะเป็นเวลาบ่ายแล้ว ยังดำรงอยู่เสมือนเที่ยงวัน ฯ
๑๒. การที่พระราชบิดาและพระญาติวงศ์ คิดผูกพันเจ้าชายสิทธัตถะไว้ให้เพลิดเพลินอยู่ในกามสุขเพราะเหตุไร ? และด้วยวิธีใด ? (๒๕๔๗)
ตอบ : นี้จักมีคติเป็นสอง คือ ถ้าอยู่ครองราชสมบัติจักได้เป็นจักรพรรดิราช หรือถ้าออกบรรพชาจักได้เป็นศาสดาเอกในโลก จึงปรารถนาให้อยู่ครองราชสมบัติมากกว่าที่จะยอมให้เสด็จออกบรรพชา ฯ ด้วยการตรัสให้ขุดสระโบกขรณีในพระราชนิเวศน์ ๓ สระ เพื่อให้เป็นที่เล่นสำราญพระราชหฤทัย ให้จัดเครื่องทรง คือจันทน์สำหรับทา ผ้าโพกพระเศียร ฉลองพระองค์ ผ้าทรงสะพัก พระภูษา ล้วนเป็นของประณีต ให้สร้างปราสาท ๓ หลังสำหรับเป็นที่ประทับทั้ง ๓ ฤดู ตรัสขอพระนางยโสธรามาอภิเษกเป็นพระชายา ฯ
๑. พระมหาบุรุษทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่คนเจ็บคนตาย และบรรพชิตแล้วทรงดำริอย่างไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : เมื่อทรงเห็นคนแก่คนเจ็บคนตายแล้ว ทรงน้อมเข้ามาเปรียบกับพระองค์เองเกิดความสังเวชว่า เราจะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเช่นกัน เมื่อทรงเห็นบรรพชิต ทรงดำริว่า สาธุโขปพฺพชฺชา บวชดีนักแล ฯ
๒. พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทรงปรารภเหตุอะไร? (๒๕๕๕)
ตอบ : พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันครอบงำมหาชนทุกคน อีกนัยหนึ่ง เพราะทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง ๔ คือ คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงสลดพระทัยเพราะไม่เคยพบเห็นมาแต่ก่อน ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นสมณะเข้าเกิดพระทัยในการบรรพชา ฯ
๓. พระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้ และปรินิพพาน เมื่อมีพระชนมายุเท่าไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ : เสด็จออกบรรพชา เมื่อมีพระชนมายุ ๒๙ ปีตรัสรู้ เมื่อมีพระชนมายุ ๓๕ ปีปรินิพพาน เมื่อมีพระชนมายุ๘๐ ปี ฯ
๔. เทวทูต ๔ ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นคืออะไรบ้าง ? ทรงเห็นแล้ว มีพระดำริอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ฯ ทรงมีพระดำริว่า บุคคลทั่วไปถูกความเจ็บ ความแก่ ความตายครอบงำไม่ล่วงพ้นไปได้ ถึงพระองค์เองก็มีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ควรแสวงหาอุบายเครื่องพ้น แต่ฆราวาสเป็นที่คับแคบ ดุจเป็นทางที่มาแห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง พอที่จะแสวงหาอุบายนั้นได้ จึงน้อมพระหฤทัยไปในบรรพชา ฯ
๕. เจ้าชายสิทธัตถะทรงปรารภอะไรจึงเสด็จออกบรรพชา ? หลังจากบรรพชาแล้วกี่ปีจึงตรัสรู้ ? (๒๕๔๙)
ตอบ : ทรงปรารภความแก่ ความเจ็บ ความตาย และสมณะ (เทวทูต ๔) ฯ ๖ ปี จึงตรัสรู้ ฯ
๖. พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชา เพราะทอดพระเนตรเห็นอะไร ? และเมื่อเห็นแล้วทรงพระดำริอย่างไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ : เพราะทอดพระเนตรเห็นเทวทูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ฯ ทรงพระดำริว่า บุคคลทั่วไปเมาอยู่ในวัย ในความไม่มีโรค และในชีวิต ถูกความเจ็บ ความแก่ ความตายครอบงำ ไม่ล่วงพ้นไปได้ ถึงพระองค์เองก็มีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ควรแสวงหาอุบายเครื่องพ้น ธรรมดาสภาวะทั้งปวงย่อมมีของที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามแก้กัน เช่นมีร้อนก็ต้องมีเย็นแก้ มีมืดก็ต้องมีสว่างแก้ แต่ฆราวาสเป็นที่คับแคบ ดุจเป็นทางที่มาแห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง พอที่จะแสวงหาอุบายนั้นได้ จึงน้อมพระทัยไปในบรรพชา ฯ
๑. พระมหาบุรุษเสด็จประทับบำเพ็ญเพียรจนถึงตรัสรู้ ณ ตำบลใด ? (๒๕๕๖)
ตอบ : ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ฯ
๒. ทุกรกิริยา คืออะไร? พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยอย่างไรบ้าง? จงบอกมา ๑ ข้อ (๒๕๕๕)
ตอบ : ทุกรกิริยา คือ การทรมานกายให้ลำบาก ฯพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ๓ วาระ
๑.ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (กัดฟัน) กดพระตาลุด้วยพระชิวหา (เอาลิ้นดุนเพดาน) ไว้จนแน่จนพระเสโท (เหงื่อ) ไหลออกจากพระกัจฉะ (รักแร้)
๒.ทรงผ่อนกลั้นลมหายใจเข้าออก
๓.ทรงอดพระกระยาหาร
๓. พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ณ ที่ไหน ? ผู้ที่รู้เห็นเป็นพยานในเรื่องนี้คือใคร ? (๒๕๕๔)
ตอบ : ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ฯคือ พระปัญจวัคคีย์ ฯ
๔. พระมหาบุรุษได้ทรงศึกษาในสำนักอาฬารดาบสและอุทกดาบสจนจบวิชาความรู้ของอาจารย์ การที่กล่าวว่าพระองค์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองโดยไม่มีใครเป็นครูอาจารย์ นั้นเพราะเหตุไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ : เพราะความรู้ที่เรียนในสำนักดาบสทั้ง ๒ นั้น เป็นโลกิยธรรม ส่วนความรู้ที่ตรัสรู้เองนั้น เป็นโลกุตรธรรมที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ฯ
๕. ปัญจวัคคีย์ คือใคร ? มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าขณะที่ยังทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ : คือ นักบวชกลุ่มหนึ่ง มีทั้งหมด ๕ คน มีท่านโกณทัญญะเป็นหัวหน้า ฯได้ตามเสด็จ คอยอุปัฏฐากรับใช้อยู่ตลอดเวลา ฯ
๖. การที่พระมหาบุรุษทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยานั้น เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : เพราะทรงดำริว่า ทุกกรกิริยาที่ทรงบำเพ็ญนั้นจะยิ่งไปกว่านี้ไม่มี แต่ก็ไม่เป็นทางให้ตรัสรู้ได้ การบำเพ็ญเพียรทางจิตจักเป็นทางตรัสรู้ได้กระมัง แต่คนซูบผอมเช่นนี้ไม่สามารถทำได้ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยา กลับมาเสวยพระอาหารตามปกติ ฯ
๗.พระญาณที่เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษในวันที่ตรัสรู้นั้น คืออะไรบ้าง ? (๒๕๔๘)
ตอบ : คือ ๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณเป็นเครื่องระลึกถึงชาติหนหลังของพระองค์ได้
๒. จุตูปปาตญาณหรือทิพพจักขุญาณ ญาณหยั่งรู้การจุติและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปตามกรรม
๓. อาสวักขยญาณ ญาณเป็นเหตุสิ้นอาสวะอันหมักหมมอยู่ในจิตตสันดาน ฯ
๑. เมื่อพระศาสดาเสด็จไปเมืองพาราณสีเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ ทรงพบใครในระหว่างทาง ? และหลังสนทนากันแล้วผู้นั้นได้บรรลุผลอะไร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : ทรงพบอุปกาชีวก ฯไม่ได้บรรลุผลอะไร ฯ
๒. บุคคลผู้แสดงตนเป็นอุบาสกด้วยการถึงรัตนะ ๒ และรัตนะ ๓ เป็นคนแรกคือใคร ? (๒๕๕๖)
ตอบ : ผู้ถึงรัตนะ ๒ คือตปุสสะและภัลลิกะ ฯ, ผู้ถึงรัตนะ ๓ คือ บิดาพระยสะ ฯ
๓. พระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัย จะแสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ก่อนเพราะเหตุไร? (๒๕๕๕)
ตอบ : เพราะทรงระลึกถึงอุปการคุณของปัญจวัคคีย์ที่ได้คอยอุปัฏฐากพระองค์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ฯ
๔. พระสาวกผู้บรรลุพระโสดาบัน และ พระอรหันต์ ครั้งแรกคือใคร? (๒๕๕๕)
ตอบ : พระโสดาบัน คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ฯ พระอรหันตสาวก คือ พระปัญจวัคคีย์ ฯ
๕. พระอัญญาโกณฑัญญะได้ชื่อว่าเป็นปฐมสาวก เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ : เพราะได้ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรก ฯ
๖. เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ พระองค์ทรงพิจารณาบุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้โดยเปรียบเทียบกับบัว ๓ เหล่า อย่างไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ : ๑. บุคคลบางคน มีกิเลสน้อย มีอินทรีย์แก่กล้า เป็นผู้จะพึงสอนให้รู้ได้โดยง่าย อาจจะตรัสรู้ธรรมพิเศาได้โดยฉับพลัน เปรียบเหมือนบัวที่ตั้งอยู่พ้นน้ำ เมื่อถูกแสงอาทิตย์ก็จักบานในวันนั้น
๒. บุคคลบางคน มีกิเลสปานกลาง มีอินทรีย์ปานกลาง เป็นผู้จะพึงสอนให้รู้ได้เมื่อได้รับคำแนะนำ เปรียบเหมือนบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้นจักบานในวันพรุ่งนี้
๓. บุคคลบางคน มีกิเลสหนา มีอินทรีย์อ่อน เมื่อได้รับการสั่งสอนอบรมอยู่เสมอ ๆ ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ เปรียบเหมือนบัวที่ตั้งอยู่ในน้ำ จักบานในวันต่อ ๆ ไป ฯ
๗. อนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยเรื่องอะไร ? ทรงแสดงเมื่อไร ? ผลเป็นอย่างไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : ว่าด้วย ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา ฯ เมื่อวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ฯ ผล คือจิตของพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พ้นแล้วจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน ฯ
๘. พระกระยาหารมื้อแรกของพระพุทธเจ้าหลังตรัสรู้คืออะไร ? ใครเป็นผู้ถวาย ? (๒๕๕๑)
ตอบ : คือ ข้าวสัตตุผง ข้าวสัตตุก้อน ฯ พ่อค้า ๒ คน ชื่อตปุสสะและภัลลิกะ ฯ
๙. พระอรหันตสาวก ๕ รูปแรก คือใครบ้าง ? (๒๕๕๑)
ตอบ : คือ ๑. พระโกณฑัญญะ ๒. วัปปะ ๓. ภัททิยะ ๔. มหานามะ ๕. อัสสชิ ฯ
๑๐. ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมนั้น คือเห็นว่าอย่างไร ? ได้เกิดขึ้นแก่ ผู้ใดเป็นคนแรก ? (๒๕๕๐)
ตอบ : เห็นว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดล้วนมีความดับเป็นธรรมดา” ฯ เกิดแก่โกณฑัญญพราหมณ์เป็นคนแรก ฯ
๑๑. ในปฐมเทศนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจไว้เท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๔๙)
ตอบ : ทรงแสดงอริยสัจไว้ ๔ ประการ ฯ คือ
๑. ทุกข์
๒. สมุทัย
๓. นิโรธ
๔. มรรค ฯ
๑๒. หลังจากตรัสรู้แล้ว ในระหว่างทางที่เสด็จไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระพุทธองค์ทรงสนทนากับใคร ? และผู้นั้นได้บรรลุธรรมชั้นไหน ? (๒๕๔๗)
ตอบ : ทรงพบอุปกาชีวก ฯ อุปกาชีวกไม่ได้บรรลุธรรมชั้นไหนเลย ฯ
๑. “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำอุทานของใคร? (๒๕๕๕)
ตอบ : คำอุทานของ ยสะกุลบุตร ฯ
๒. คำว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำอุทานของใคร ? ความวุ่นวายขัดข้องนั้นสงบลงได้อย่างไร ? (๒๕๕๔)
ตอบ : ของยสกุลบุตร ฯได้โดยการฟังพระธรรมเทศนา อนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโปรด ฯ
๓. ฆราวาสที่บรรลุพระอรหัตผลคนแรกคือใคร ? เพราะฟังธรรมอะไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : คือ ยสกุลบุตร ฯ เพราะฟังอนุปุพพีกถา และอริยสัจ ๔ ฯ
๔. พระพุทธเจ้าทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรแก่ใคร ? ที่ไหน ? (๒๕๕๑)
ตอบ : แก่ชฎิล ๓ พี่น้อง และบริวาร ๑,๐๐๐ คน ฯ ที่ตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยา ฯ
๕. อนุปุพพีกถา คืออะไรบ้าง ? ทรงแสดงแก่ใครเป็นครั้งแรก ? (๒๕๔๘)
ตอบ : คือ ทาน ศีล สวรรค์ กามาทีนพ และเนกขัมมานิสงส์ ฯ แก่ยสกุลบุตร ฯ
๖. ในพิธีศิวาราตรี ถือว่าการอาบน้ำชำระร่างกายในแม่น้ำเป็นการลอยบาป ส่วนในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าทรงแสดงวิธีลอยบาปไว้อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ : ทรงแสดงไว้ว่า การยังบาปให้สงบระงับจากสันดาน ละกิเลสที่ทำให้เป็นผู้ดุร้ายเย่อหยิ่งและกิเลสที่ย้อมจิตให้ติดแน่นในกามารมณ์ เป็นการลอยบาป ฯ
๑. คำว่า ดวงตาเห็นธรรม นั้นคือเห็นอย่างไร ? พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังธรรมจากใคร ? (๒๕๕๓)
ตอบ : คือเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ฯ พระโมคคัลลานะได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังธรรมจากพระสารีบุตร และพระสารีบุตรได้ดวงตาเห็นธรรมเพราะฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระ ฯ
๒. พระอัครสาวกทั้ง ๒ องค์สำเร็จเป็นพระโสดาบันเพราะฟังธรรมจากใคร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : พระสารีบุตร ฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระ ฯ, พระโมคคัลลานะ ฟังธรรมจากพระสารีบุตร ฯ
๑. พระพุทธเจ้าทรงเลือกแคว้นมคธเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
ตอบ : เพราะแคว้นมคธ เป็นแค้วนใหญ่มีอำนาจและบริบูรณ์ด้วยสมบัติมีประชาชนมาก มีเจ้าลัทธิมาก จึงทรงเลือก ฯ
๒. จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมที่ประกอบด้วยองค์อะไรบ้าง ?(๒๕๕๑)
ตอบ : ด้วยองค์ คือ ๑. พระสาวกผู้เข้าประชุมนั้น ล้วนเป็นพระอรหันต์
๒. ทุกท่านล้วนได้รับเอหิภิกขุอุปสัมปทา
๓. ไม่ได้มีการนัดหมาย ต่างมาประชุมพร้อมกันเอง
๔. วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนมาฆะ และพระศาสดาประทานพระบรมพุทโธวาท ซึ่งเรียกว่า โอวาทปาฏิ-โมกข์ ฯ
๓. เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าทรงเลือกแคว้นมคธเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ? (๒๕๔๙)
ตอบ : เพราะแคว้นมคธเป็นเมืองใหญ่มีอำนาจและบริบูรณ์ด้วยสมบัติ คับคั่งด้วยประชาชน พระเจ้าพิมพิสารทรงปกครองโดยสิทธิ์ขาด ทั้งเป็นที่อยู่แห่งครูเจ้าลัทธิมากกว่ามาก
๔. ในวันจาตุรงคสันนิบาต พระศาสดาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่ใคร ? ที่ไหน ? ทรงยกธรรมข้อใดขึ้นแสดงเป็นข้อต้น ? (๒๕๔๘)
ตอบ : ทรงแสดงแก่พระอรหันตขีณาสพ จำนวน ๑,๒๕๐ องค์ ฯ ณ เวฬุวนาราม แคว้นมคธ ฯ ทรงยกธรรมข้อขันติขึ้นแสดงเป็นข้อต้น ฯ
๑. ครั้งพุทธกาล วัดเชตวันนั้น ตั้งอยู่เมื่องอะไร? ใครเป็นผู้สร้างถวาย? (๒๕๕๕)
ตอบ : วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้สร้างถวาย และพระพุทธองค์ประทับจำพรรษานานถึง ๑๙ พรรษา ฯ
๑. ปฐมสาวก และ ปัจฉิมสาวก คือใคร? (๒๕๕๕)
ตอบ : ปฐมสาวก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ปัจฉิมสาวก คือ พระสุภัททะ ฯ
๒. สถานที่ต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับพระบรมศาสดาอย่างไร ? (๒๕๕๔)
๑. ลุมพินีวัน ๒. อิสิปตนมฤคทายวัน ๓. ลัฏฐิวัน ๔. เวฬุวัน ๕. สาลวัน
ตอบ : ๑. ลุมพินีวัน เป็นสถานที่ประสูติ
๒. อิสิปตนมฤคทายวัน เป็นสถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์
๓. ลัฏฐิวัน เป็นสถานที่ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสารและบริวารจนสำเร็จเป็นพระโสดาบัน
๔. เวฬุวัน เป็นสถานที่ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
๕. สาลวัน เป็นสถานที่ทรงแสดงมรรคมีองค์แปดแก่สุภัททปริพาชก และเป็นสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ฯ
๓. ถูปารหบุคคล คือบุคคลเช่นไร ? ได้แก่ใครบ้าง ? (๒๕๕๔)
ตอบ : คือ บุคคลที่ควรแก่การบรรจุอัฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อเป็นที่กราบไหว้สักการบูชา ฯ ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกและพระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ
๔. สังเวชนียสถาน ๔ ได้แก่ที่ใดบ้าง ? (๒๕๕๓)
ตอบ : ได้แก่ ๑. สถานที่ประสูติ ๒. สถานที่ตรัสรู้๓. สถานที่แสดงปฐมเทศนา ๔. สถานที่ปรินิพพาน
๕. พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญปฏิบัติบูชายิ่งกว่าอามิสบูชา เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๓)
ตอบ : เพราะเมื่อพุทธบริษัทปฏิบัติธรรมได้สมควรแก่ธรรมแล้ว ก็จะเป็นปัจจัยให้ตรัสรู้ธรรมได้ ทั้งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา และเป็นพระพุทธประสงค์หลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา อีกทั้งการปฏิบัตินี้จะทำให้ศาสนาตั้งมั่นอยู่ได้ยืนนาน ฯ
๖. พระพุทธรูป สังเวชนียสถาน ตุมพสถูป และ อังคารสถูป อย่างไหนเป็นบริโภคเจดีย์และอุทเทสิกเจดีย์ ? (๒๕๕๒)
ตอบ : สังเวชนียสถาน ตุมพสถูป และ อังคารสถูป เป็นบริโภคเจดีย์ พระพุทธรูป เป็นอุทเทสิกเจดีย์ ฯ
๖. สถานที่ต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร (๒๕๕๑)
ก. ลุมพินีวัน ข. อิสิปตนมฤคทายวัน ค. สาลวโนทยาน
ตอบ : ก. ลุมพินีวัน เป็นสถานที่ประสูติ
ข. อิสิปตนมฤคทายวัน เป็นสถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนา
ค. สาลวโนทยาน เป็นสถานที่ปรินิพพาน
๗. พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร คือทรงทำอย่างไร ? ไหน ? เมื่อไร ? (๒๕๕๐)
ตอบ : คือทรงกำหนดพระหฤทัยว่า “จักปรินิพพานในอีก ๓ เดือนข้างหน้า” ฯ ทรงทำที่ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลีแคว้นวัชชี ฯ เมื่อวันเพ็ญเดือน ๓ ก่อนปรินิพพาน ๓ เดือน (วันมาฆบูชา) ฯ
๘. พระพุทธเจ้าเสวยพระกระยาหารอะไร ก่อนแต่เสด็จปรินิพพาน ? ใครถวาย ? (๒๕๕๐)
ตอบ : เสวยมังสะสุกรอ่อน (สูกรมัททวะ) ฯ นายจุนทกัมมารบุตรถวาย ฯ
๙. พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานที่ใต้ต้นไม้อะไร ? (๒๕๔๙)
ตอบ :ประสูติ และ ปรินิพพาน ใต้ต้นสาละ ตรัสรู้ ใต้ต้นโพธิ์ (อัสสัตถพฤกษ์) ฯ
๑๐. ผู้ใดได้ถวายภัตตาหารมื้อแรกหลังจากตรัสรู้ และภัตตาหารมื้อสุดท้าย ก่อนปรินิพพานแก่พระพุทธเจ้า ? (๒๕๔๙)
ตอบ : ตปุสสะและภัลลิกะ ๒ พาณิช ได้ถวายภัตตาหารมื้อแรกหลังจากตรัสรู้แล้ว นายจุนทกัมมารบุตร ได้ถวายภัตตาหารมื้อสุดท้ายก่อนปรินิพพาน ฯ
๑๑. พระปัจฉิมโอวาท มีใจความว่าอย่างไร ? ทรงประทานที่ไหน ? (๒๕๔๘)
ตอบ : มีใจความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราผู้พระตถาคตเตือนท่านทั้งหลายให้รู้สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวง อันเป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ฯ ณ สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา แคว้นมัลละ ฯ
๑๒. การปลงอายุสังขารของพระพุทธองค์ ถือโดยใจความว่าอย่างไร ? และทรงปลงอายุสังขารเมื่อใด ? (๒๕๔๗)
ตอบ : ถือโดยใจความว่า พระองค์ทรงปลงพระทัยว่าจะทรงบำเพ็ญพุทธกิจต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะปรารภถึงสังขารของพระองค์ว่า ทรงพระชราแก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยเสียแล้ว ที่ทรงเปรียบว่ากายของพระองค์เป็นประหนึ่งเกวียนชำรุดที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ มิใช่สัมภาระเกวียนฉะนั้น ฯ เมื่อวันเพ็ญเดือน ๓ ก่อนวันปรินิพพาน ๓ เดือน
๑๓. พระพุทธศาสนาสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไร ? (๒๕๔๗)
ตอบ : ได้ด้วยการที่บริษัททั้ง ๔ ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และด้วยวิธีที่พระสงฆ์สาวกผู้ใหญ่ มีพระมหากัสสปะเป็นต้น เป็นประธานจัดทำสังคายนาพระธรรมวินัย วางแบบแผนที่ถูกต้องลงไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก เพื่อให้บริษัท ๔ ได้เล่าเรียนปฏิบัติตามเมื่อมีสิ่งไรไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระอริยสงฆ์ในยุคนั้นๆ ได้ช่วยกัน ทำสังคายนาเป็นครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ เป็นลำดับมา เพื่อชำระสัทธรรมปฏิรูปนั้นเสีย จนได้จารึกไว้ในพระคัมภีร์ให้แพร่หลาย รวมทั้งจัดการส่งพระสงฆ์ไปประกาศพระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ ให้ชุมชนในดินแดนนั้นๆ เลื่อมใสปฏิบัติตาม จึงทำให้พระพุทธศาสนาสืบเนื่องมาจนปัจจุบันนี้ ฯ
ที่อยู่ : 23/2 หมู่ 7 โรงเรียนพระปริยัติธรรม
วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
dummy 02-831-1000 ต่อ 13710