กิริยาศัพท์ที่ประกอบด้วย วิภัตติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ ดังนี้ จัดเป็น วาจก คือ กล่าวบทที่เป็นประธานของกิริยา ๕ อย่างคือ
ใช้ในกรณีที่ข้อความในประโยคนั้นเน้นผู้ทำเป็นหลักใหญ่ มุ่งแสดงความสำคัญของผู้ทำและกิริยาอาการของผู้ทำเป็นประมาณโดยมิได้เน้นถึงว่าสิ่งที่ถูกทำเป็นอะไร ทำอย่างไร เป็นต้น ส่วนมากใช้ในข้อความที่เป็นท้องเรื่อง เดินเรื่องธรรมดา หรือเป็นความอธิบายเป็นเลขนอก หรือเลขในที่เป็นความบอกเล่าธรรมดาๆ ที่มิได้เน้นสิ่งอื่นนอกจากผู้ทำ
สรุปอีกทีก็คือ ประโยคที่เน้นผู้ทำ ใช้กัตตุวาจก และผุ้ทำนั้นด้องเป็นประธานในประโยค เช่น
: สูโท โอทนํ ปจติ ฯ เน้นผู้ทำคือ สูโท พ่อครัว
: ธมฺมจารี สุขํ เสติ ฯ เน้นผู้อยู่เป็นสุข
: ภควา เอตทโวจ ฯ เน้นผุ้กล่าว
ใช้ในกรณีที่ข้อความในประโยคนั้น ต้องการเน้นสิ่งที่ถูกทำ (กมฺม) ให้เด่นชัดขึ้น ยกสิ่งที่ถูกทำขึ้นเป็นตัวประธานในประโยค ส่วนผู้ทำ (กตฺตุ) ถือเป็นศัพท์รอง บางประโยคถึงกับไม่จำเป็นต้องใส่ตัวกัตตาเข้ามาในประโยค
ประโยคกัมมวาจกนี้ ส่วนมากใช้ในข้อความที่ผู้พูด ผู้เขียนมุ่งเน้นว่าสิ่งที่ถูกทำนั้นสำคัญที่สุด จึงเน้นไว้เป็นประธาน ส่วนมากจะใช้ในประโยคเลขในและใช้กิริยากิตก์คุมพากย์
จำง่ายๆ ว่า "ประโยคใดเน้นที่ สิ่งที่ถูกทำ ประโยคนั้นเป็น กัมมวาจก" ตัวอย่างเช่น
ทั้งสามประโยคนี้ หากแต่งเสียใหม่ว่า
ก็ถูกต้องใช้ได้เหมือนกัน แต่หย่อนอรรถรส เพราะทั้งสามประโยคนี้กลับเป็นการยก หรือเน้นตัวกัตตาไปเสีย
ขอให้ดูประโยคต่อไปนี้เพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจดียิ่งขึ้น
: เอวมฺเม สุตํ ฯ
: เตน วุตฺตํ ฯ
: อมฺมตาตา มยา ภิกฺขุสหสฺสํ นิมนฺติตํ ฯ (๑/๗๑)
: อถ กึ ทฺวีหตีหํ สทฺโท น สุยฺยติ ฯ (๒/๓๐)
อนึ่ง ยังมีประโยคที่เน้นสิ่งที่ถูกทำเหมือนกัน เนื้อความก็เป็นรูปกัมมวาจกอยู่ แต่กลับแต่งเป็นประโยคกัตตุวาจกไป ได้แก่ ประโยคที่เราเรียกว่า "กัต. นอก กัม. ใน" นั่นเอง ที่เป็นดังนี้เพราะต้องการเน้นอีกต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งที่ถูกทำนั้นยังไม่ได้สูญหายไป ยังคงอยู่ เช่น
: ราชา นคเรหิ มานิโต โหติ ฯ
: อิทํ สิกฺขาปทํ ภควตา ภิกฺขูนํ ปญฺญตฺตํ โหติ ฯ
ใช้ในกรณีที่ข้อความนั้นมิได้เน้นผู้ทำ มิได้เน้นสิ่งที่ถูกทำ แต่เน้นกิริยาอาการของผู้ทำ (อนภิหิตกตฺตตา) ว่าเป็นอะไร มีอย่างไร ประโยคภาววาจกมีที่ใช้น้อย ส่วนมากมักพบในรูปของปัจจัยในกิตก์ คือ ตพฺพ ปัจจัย เป็นพื้น ในรูปของอาขยาตมีน้อย เช่น
: เตน ภูยเต ฯ (เน้นความเป็นของเขา)
: (อยฺเยน) ทิวา น นิทฺทายิตพฺพํ ฯ (เน้นกิริยานอน) (๑/๖๓)
: (อยฺเยน) อกุสีเตน ภวิตพฺพํ อารทฺธวิริเยน ฯ (๑/๖๓)
: (อยฺเยน) สายํ สพฺเพสุ สุตฺเตสุ วิหารโต อาคนฺตพฺพํ ปจฺจูสกาเล สพฺเพสุ อนุฏฺฐหิเตสุเยว วิหารํ คนฺตพฺพํ ฯ (เน้นกิริยาอาการ) (๑/๖๓)
มีข้อควรระวังอย่างหนึ่งคือ ประโยคภาววาจกนี้ กิริยาจะต้องเป็นอกัมมธาตุเท่านั้น บางครั้งนักศึกษาไปพบศัพท์กิริยาสกัมมธาตุมีรูปร่างเหมือนกิริยาภาววาจกเข้า และศัพท์นั้นท่านมิได้วางประธานหรือกรรมไว้ให้เห็น ก็เหมาเอาว่าเป็นภาววาจก อย่างนี้เรียกว่าผิดสัมพันธ์เช่น
: เย น เทนฺติ, เตสํ น ทาตพฺพํ ฯ (๓/๖๒)
: สุขํ ภุญฺชิตพฺพํ ฯ (๓/๖๓)
: ตตฺถ เวทิตพฺพํ ฯ (ดูในมงฺคลตฺถทีปนี
ใช้ในกรณีที่ข้อความประโยคนั้น เน้นผู้ใช้ให้ทำกิริยาอาการนั้นมิได้เน้นตัวผู้ทำหรือผู้ถูกใช้ให้ทำ หรือสิ่งที่ถูกทำแต่ประการใด ทั้งผู้ใช้นั้นก็มิได้ทำกิริยานั้นเองด้วย
จำง่ายๆ ว่า ประโยคใดเน้นผู้ใช้ให้คนอื่นทำ ประโยคนั้นเป็นเหตุกัตตุวาจก ตัวอย่างเช่น
: สามิโก สูทํ โอทนํ ปาเจติ ฯ เน้นนายซึ่งเป็นผู้ใช้)
: กลหํ นิสฺสาย หิ ลฏฺกิกาปิ สกุณิกา หตฺถินาคํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิ ฯ เน้นนก ผู้ทำให้ถึง) (๑/๕๑)
ในบางกรณี ประโยคเหตุกัตตุวาจกนี้ จะไม่ต้องใส่ตัวการิตกมฺม (ผุ้ถูกใช้ให้ทำ) หรือ กมฺม (สิ่งที่ถูกทำ) เข้ามาในประโยคก็ได้ เพราะไม่ได้เน้นถึง กระนั้นก็เป็นอันทราบกันได้โดยนัย เช่น
: ราชา ตถา กาเรสิ ฯ (ขาดการิตกมฺม และ กมฺม) (๑/๔๐)
: โส สตฺถุ ทานํ ทตฺวา ตุมหากํ ปาเปสฺสติ ฯ (ขาดการิตกมฺม) (๑/๙๔)
: ราชา สกลวีถิยํ เภริญฺจาราเปสิ ฯ (ขาดการิตกมฺม)
ใช้ในกรณีที่ข้อความในประโยคนั้น เน้นสิ่งที่ถูกผู้ใช้ให้เขาทำ โดยยกสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นตัวประธานและครองกิริยาในประโยค เช่น
: สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปิยเต ฯ
: อยํ ถูโป ปติฏฺฐาปิโต ฯ
: สุนนฺทาย โปกฺขรณี การิตา ฯ (๒/๑๐๒)
: มยา ตสฺส ปณฺณสาลา ฌาปิตา ฯ (๓/๑๕๗)
รวมความว่า จะแต่งเป็นรูปประโยควาจกใด ให้อ่านความไทยให้เข้าใจชัดเจนก่อนว่า ประโยคนั้นเขาเน้นประธาน หรือเน้นกรรมเป็นต้น แล้วแต่งประโยคเป็นวาจกนั้นๆ ดังกล่าวมาโดยยึดแบบเป็นหลักเกณฑ์ และแต่งเป็นวาจกใด ต้องประกอบประธาน กิริยา กรรม เป็นต้น ให้ถูกต้องตามวิธีไวยากรณ์ด้วย ทั้งนี้ เพื่อจะไม่ทำให้เสียความหมายและเสียคะแนนดังกล่าวแล้วข้างต้น.
ที่อยู่ : 23/2 หมู่ 7 โรงเรียนพระปริยัติธรรม
วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
dummy 02-831-1000 ต่อ 13710