๑.ให้ดูที่ปัจจัยก่อน
๑.๑ ถ้านามกิตก์บทนั้นลง กฺวิ ณี ณฺวุ ตุ รู ปัจจัย ซึ่งเป็นกิตปัจจัยล้วน นามกิตก์บทนั้นจะเป็นกัตตุรูป กัตตุสาธนะเพียงประการเดียวเท่านั้น เป็นรูปอื่น,สาธนะอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด
๑.๒ แต่ถ้านามกิตก์บทนั้นลง ข ณฺย ปัจจัย ซึ่งเป็นกิจจปัจจัยล้วน นามกิตก์บทนั้นจะเป็นกัมมรูป กัมมสาธนะเพียงประการเดียวเท่านั้น เป็นรูปอื่น,สาธนะอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด
เมื่อทราบรูปสาธนะและปัจจัยที่ลงแล้ว การวิเคราะห์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป
๑. นามกิตก์ที่เป็นกัตตุรูป เมื่อตั้งวิเคราะห์ให้ประกอบกิริยาคุมพากย์เป็นกัตตุวาจก
หรือเหตุกัตตุวาจก (ดูแผนผังประกอบ)
๑.๑ กัตตุรูป กัตตุสาธนะ วิ. (บทหน้า) ธมฺมํ
(กิริยากัตตุ.)+อิติ วทตีติ
(บทสำเร็จ) ธมฺมวาที
๑.๒ กัตตุรป กัตตุสาธนะ วิ. (บทหน้า) ธมฺมํ
ลงในอรรถตัสสีละ (กิริยากัตตุ.) วทติ
(สีเลน+อิติ) สีเลนาติ
(บทสำเร็จ) ธมฺมวาที
เช่น
๑.๓ สมาสรูป ตัสสีละสาธนะ
๑.๔ กัตตุรูป กัมมสาธนะ
๒. นามกิตก์ที่เป็นกัมมรูป เมื่อตั้งวิเคราะห์ให้ประกอบกิริยากิริยาคุมพากย์เป็นกัมมวาจก
หรือเหตุกัมมวาจก
๓. นามกิตก์ที่เป็นภาวรูป เมื่อตั้งวิเคราะห์ให้ประกอบกิริยากิริยาคุมพากย์เป็นภาววาจกหรือเป็นนามกิตก์ลง ยุ ปัจจัย
ก่อนตั้งวิเคราะห์ควรทราบส่วนประกอบของรูปวิเคราะห์ก่อนว่า รูปวิเคราะห์นั้นแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ๑. บทวิเคราะห์ ๒. บทสำเร็จ
ตัวอย่าง กมฺมํ กโรตีติ กมฺมการี เป็นกัตตุรูป กัตตุสาธนะ ลง ณี ปัจจัย
กมฺมํ กโรติ+อิติ เรียกว่า บทวิเคราะห์
กมฺมการี เรียกว่า บทสำเร็จ
ประเภทของบทสำเร็จนั้นก็แบ่งได้อีก ๒ ชนิด คือ
๑. บทสำเร็จนามกิตก์ที่ไม่มีบทหน้า เช่น ทายโก(ทา+ณฺวุ), ทาตาทา+ตุ,
วตฺตา(วท+ตุ)
๒. บทสำเร็จนามกิตก์ที่มีบทหน้า เช่น สยมฺภู(สยํ+ภู+กฺวิ), ธมฺมวาที(ธมฺม+วาที+ณี), มารชิ(มาร+ชิ+กฺวิ)
บทสำเร็จนั้นมีลักษณะเป็นศัพท์ธาตุเดี่ยวๆเพียงศัพท์เดียวนำมาลงปัจจัยดังตัวอย่างที่ยกมาแสดงแล้วนั้นก็มี
เป็นศัพท์ธาตุมีบทหน้าเป็นนามนามบ้าง, คุณนามบ้าง, สัพพนามบ้าง, อุปสัคบ้าง,นิบาตบ้างก็มี
บทหน้านั้นมี ๑ ศัพท์ก็ได้ มี ๒ ศัพท์ก็ได้ หรือมีเกิน ๒ ศัพท์ก็ได้
ต่อไปนี้ เพื่อสะดวกแก่การเรียก ศัพท์หน้าธาตุจะเรียกว่าบทหน้า ส่วนศัพท์ธาตุจะเรียกว่าบทหลัง
ตัวอย่าง กมฺมการี (กมฺม+การี+ณี)
กมฺม เรียกว่าบทหน้า
การี เรียกว่าบทหลัง
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าบทหลังของนามกิตก์ต้องเป็นศัพท์ธาตุเพียงประการเดียวเท่านั้น
หรือถ้าไม่ใช่ศัพท์ธาตุก็ต้องเป็นศัพท์ที่คุณลักษณะและคุณสัมบัติเทียบเท่ากับศัพท์ธาตุ คือเป็นนามนามและคุณนามที่ลงปัจจัยพิเศษ ๒ ตัวนี้ คือ อาย อิย ปัจจัย เป็นไปในความปรารถนา ซึ่งมีอำนาจทำศัพท์นามนามและคุณนามให้เป็นกิริยาได้
บทหน้านั้นมีอยู่มากมาย แต่ก็พอจะสรูปได้ว่ามีอยู่ด้วยกัน ๕ ประเภท คือ
๑. บทหน้าที่เป็นนามนาม
๒. บทหน้าที่เป็นคุณนาม
๓. บทหน้าที่เป็นสัพพนาม
๔. บทหน้าที่เป็นอุปสัค
๕. บทหน้าที่เป็นนิบาต
เมื่อจะเริ่มตั้งวิเคราะห์ ก่อนอื่นต้องแปลนามกิตก์บทนั้นให้ได้ก่อน โดยต้องแปลออกคำแปลของสาธนะแต่ละสาธนะให้ชัดเจน
ในกรณีที่นามกิตก์ศัพท์นั้นมีบทหน้า ให้ดูว่าบทหน้าบทนั้นเป็นศัพท์ชนิดใด
ถ้าบทหน้าเป็นนามนามต้องแปลออกสำเนียงอายตนิบาตให้ชัดเจน เพื่อที่ว่าในเวลาตั้งรูปวิเคราะห์จะได้ทราบว่าต้องประกอบนามนามบทนั้นเป็นวิภัตติใด
ส่วนกิริยาคุมพากย์ ได้กล่าวไว้แล้วว่าถ้าเป็นกัตตุรูปต้องประกอบกิริยาคุมพากย์เป็นกัตตุวาจกหรือเหตุกัตตุวาจกเท่านั้น ฯลฯ
๑. ศัพท์นามกิตก์ที่ลง กฺวิ ณี ณฺวุ ตุ รู ปัจจัย เป็นกัตตุวาจกหรือเหตุกัตตุวาจกอย่างใดอย่างหนึ่งได้เพียงประการเดียวเท่านั้น(แล้วแต่เนื้อความ โดยมากเป็นกัตตุวาจก) ฉะนั้น เมื่อจะประกอบกิริยาคุมพากย์ ให้ลงปัจจัยในกัตตุวาจก ๑๐ ให้ถูกต้องตามหมวดธาตุ หรือลงปัจจัยในเหตุกัตตุวาจก ๔ ตัว ให้ถูกต้องตามที่ได้เรียนมาแล้วในตอนว่าด้วยเรื่องอาขยาต (กลับไปทบทวนการประกอบวาจกทั้ง ๕ อีกครั้ง)
๒. ศัพท์นามกิตก์ที่ลง ข ณฺย ปัจจัย เป็นกัมมวาจกหรือเหตุกัมมวาจกอย่างใดอย่างหนึ่งได้เพียงประการเดียวเท่านั้น(แล้วแต่เนื้อความ โดยมากเป็นกัมมวาจก) ฉะนั้น เมื่อจะประกอบกิริยาคุมพากย์ให้ลงปัจจัยในกัมมวาจก คือ ลง อิ อาคม หน้า ย ปัจจัย หรือลงปัจจัยในเหตุกัมมวาจก คือ ลง เณ ณย ณาเป ณาปย ๔ ตัวนี้ตัวใดตัวหนึ่งก่อนแล้วจึงลง อิ อาคม และ ย ปัจจัย ตามลำดับ
กรณีนามกิตก์บทนั้นลงปัจจัยในหมวดกิตกิจจปัจจัย จะสังเกตรู้รูปจากคำแปลได้ดังนี้ คือ
๑. ถ้าเป็นกัตตุวาจก(กัตตรูป) ก็จะแปลว่า “ผู้” ตามด้วย “คำแปลธาตุ” ตามด้วย “บทหน้า” (ถ้ามี)
๒. ถ้าเป็นเหตุกัตตุวาจก(กัตตุรูป) ก็จะแปลว่า “ผู้
ถ้าแปลนามกิตก์บทนั้นได้ถูกต้องตามระเบียบที่วางไว้ก็จะสามารถทราบว่าเป็นรูปอะไรได้ไม่ยาก แม้ในหมวดกิตปัจจัยและหมวดกิจจปัจจัยก็ใช้วิธีเดียวกันนี้
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการประกอบรูปวิเคราะห์
๑. ศัพท์ที่อยู่ในบทสำเร็จทุกศัพท์ต้องนำมาประกอบเป็นรูปวิเคราะห์
๒. ศัพท์ที่อยู่ในบทวิเคราะห์ทุกศัพท์ไม่จำเป็นต้องนำมาประกอบเป็นบทสำเร็จ
ส่วนปัจจัยในหมวดกิตกิจจปัจจัยนั้นเป็นได้ทุกรูปทุกสาธนะ ฉะนั้น จึงไม่สามารถรู้สาธนะได้จากปัจจัยในหมวดกิตกิจจปัจจัยได้
ถ้ามองปัจจัยยังไม่ออกหรือไม่มั่นใจก็ให้ดูที่ประธาน โดยประธานจะอยู่ในวงเล็บหลังนามกิตก์บทนั้นๆ
นามที่เป็นผู้ทำกิริยาอาการใช้เป็นประธานเจ้าของบทสำเร็จที่เป็นกัตตุสาธนะ (แปลว่า ผู้...) เรียกว่า กัตตานาม
โดยมากศัพท์กัตตานามกลุ่มนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตคือมีวิญญาณ เช่น เทวดาคนและสัตว์
ฉะนั้น ถ้าบทที่สำเร็จมาจากนามกิตก์บทใดทำหน้าที่ขยายกัตตานามเหล่านี้ ก็พอจะเป็นหลักเดาได้ว่านามกิตก์บทนี้น่าจะเป็นกัตตุสาธนะ แต่วิธีนี้ไม่ถูกต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็น ฉะนั้นต้องดูปัจจัยประกอบเป็นหลัก แต่ก็ทำให้แคบลงหารูปและสาธนะได้ง่ายขึ้น
วิธีการสังเกตสาธนะจากตัวประธานนี้เหมาะจะใช้กับนามกิตก์ที่ลงปัจจัยหมวด กิตกิจจปัจจัย เพราะปัจจัยกลุ่มนี้เป็นได้ทุกรูป ทุกสาธนะ ฉะนั้น จึงเป็นการยากที่จะรู้ได้ว่านามกิตก์บทนั้นเป็นรูปใด เป็นสาธนะใด
นามนามประเภทกัตตานาม จะส่อแสดงนามกิตก์บทนั้นไปในทางเป็นกัตตุสาธนะ
นามนามประเภทกัมมนาม จะส่อแสดงนามกิตก์บทนั้นไปในทางเป็นกัมมสาธนะ
นามนามประเภทกรณนาม จะส่อแสดงนามกิตก์บทนั้นไปในทางเป็นกรณสาธนะ
นามนามประเภทสัมปทานนาม จะส่อแสดงนามกิตก์บทนั้นไปในทางเป็นกัตตุสาธนะ
นามนามประเภทอปาทานนามนาม จะส่อแสดงนามกิตก์บทนั้นไปในทางเป็นอปาทานสาธนะ
นามนามประเภทอธิกรณนาม จะส่อแสดงนามกิตก์บทนั้นไปในทางเป็นอธิกรณสาธนะ
ที่อยู่ : 23/2 หมู่ 7 โรงเรียนพระปริยัติธรรม
วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
dummy 02-831-1000 ต่อ 13710