สารีบุตรเถระ (พระสารีบุตรเถระเถระ)

สารีบุตรเถระ (พระสารีบุตรเถระเถระ)
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อเดิม อุปติสสะ
สถานที่เกิด นาลันทา
สถานที่บวช วัดเวฬุวันมหาวิหาร
วิธีบวช เอหิภิกขุอุปสัมปทา
สถานที่บรรลุธรรม ถ้ำสุกรขาตา ก่อนถึงพระมูลคันธกุฎีบนเขาคิชกูฏ เมืองราชคฤห์
ตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องขวา
เอตทัคคะ ผู้มีปัญญามาก
อาจารย์ พระอัสสชิเถระ
นิพพาน วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ก่อนพุทธปรินิพพาน
สถานที่นิพพาน เตียงที่ท่านเกิดที่นาลันทา
ฐานะเดิม
ชาวเมือง นาลันทา แคว้นมคธ
นามบิดา นายวังคันตะพราหมณ์
นามมารดา นางสารีพราหมณี
วรรณะเดิม พราหมณ์
การศึกษา จบพระเวท

ประวัติ

 

ประวัติพระสารีบุตร

พระอัครสาวกผู้เป็นเลิศในทางปัญญา

พระสารีบุตร มีชื่อเดิมว่า อุปติสสะ เป็นบุตรพราหมณ์ผู้บริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และบริวาร ชื่อวังคันตะ และนางสารี เกิดในตำบลบ้านชื่อนาลกะหรือนาลันทะ ไม่ห่างจากกรุงราชคฤห์

อุปติสสมาณพเป็นเพื่อนสนิทกับโกลิตมาณพ หรือพระมหาโมคคัลลานะ ทั้งสองคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นบุตรแห่งสกุลผู้มั่งคั่งเหมือนกัน เบื่อชีวิตการครองเรือนที่วุ่นวาย จึงพาบริวารไปขอบวชอยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก เรียนลัทธิของสัญชัยได้ทั้งหมด จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยสอนหมู่ศิษย์ต่อไป ทั้งสองมาณพยังไม่พอใจในคำสอนของสัญชัยปริพาชก เพราะไม่ใช่แนวทางที่ตนต้องการ จึงตกลงกันที่จะแสวงหาอาจารย์ที่สามารถชี้แนะแนวทางที่ดีกว่านี้ หากใครได้โมกขธรรม ก็ขอให้บอกแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

 

พบพระอัสสชิ

ในวันหนึ่งอุปติสสมาณพได้เข้าไปในกรุงราชคฤห์ได้พบพระอัสสชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ กำลังบิณฑบาต อุปติสสมาณพเห็นพระอัสสชิ มีอาการน่าเลื่อมใส มีความประทับใจ จึงเข้าไปถามพระอัสสชิว่า ผู้ใดเป็นศาสดาของท่าน พระอัสสชิตอบว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นโอรสศากยราช เป็นศาสดา อุปติสสมาณพจึงขอให้พระอัสสชิแสดงธรรม พระอัสสชิได้ออกตัวว่าพึ่งบวชได้ไม่นาน ไม่อาจแสดงธรรมโดยกว้างขวาง อุปติสสมาณพจึงขอให้พระอัสสชิแสดงธรรมสั้น ๆก็ได้ พระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสมาณพ เรียกกันว่า "คาถาเยธัมมา" เพราะขึ้นต้นด้วยคำว่า "เย ธัมมา" ในสมัยโบราณ ถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา อุปติสสมาณพได้นำคำสอนของพระอัสสชิไปแจ้งให้โกลิตมาณพทราบ โกลิตมาณพก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน

 

ชักชวนอาจารย์สัญชัยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

มาณพทั้งสองได้ไปชักชวนสัญชัยปริพาชก ให้ไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกัน แต่สัญชัยปริพาชกไม่ยอมไป มาณพทั้งสองก็รบเร้าว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตรัสรู้เอง เป็นผู้รู้แจ้งจริง ต่อไปคนทั้งหลายจะหลั่งไหลไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วอาจารย์จะอยู่ได้อย่างไร สัญชัยปริพาชกจึงถามว่า ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก มาณพทั้งสองได้ตอบว่า "คนโง่มากกว่า" สัญชัยปริพาชกจึงกล่าวแก่มาณพทั้งสองว่า "ปล่อยให้คนฉลาดไปเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ให้คนโง่ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามาเป็นลูกศิษย์ของเรา เราจะได้รับเครื่องสักการะจากคนจำนวนมาก คนฉลาดอย่างเธอทั้งสองจะไปเป็นศิษย์ของพระสมณโคดมก็ตามใจ"

 

ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

อุปติสสมาณพและโกลิตมาณพจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่สวนเวฬุวนาราม ในกรุงราชคฤห์ ในขณะนั้นพระพุทธองค์กำลังประทับท่ามกลางพุทธบริษัทจำนวนมาก เมื่อเห็นมาณพทั้งสองกำลังเดินมา จึงตรัสบอกภิกษุสงฆ์ว่า "ภิกษุทั้งหลาย มาณพทั้งสองคนนั้นจะเป็นอัครสาวกของเราตถาคต"

มาณพทั้งสองได้ทูลของอุปสมบทต่อพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ได้ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุ พระมหาโมคคัลลานะอุปสมบทได้ 7 วัน ก็สำเร็จพระอรหันต์ ส่วนพระสารีบุตรอุปสมบทได้กึ่งเดือน จึงสำเร็จพระอรหันต์ พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายการที่พระสารีบุตรได้บรรลุพระอรหันต์ช้ากว่าพระมหาโมคคัลลานะว่าเป็นเพราะพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญามาก ต้องใช้บริกรรมใหญ่ เปรียบด้วยการเสด็จไปของพระราชาต้องตระเตรียมราชพาหนะและราชบริวาร จึงจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าการไปของคนสามัญ

 

ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครสาวก

ในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนมาฆะ ในคืนวันนั้นพระพุทธเจ้าทรงประทานพระโอวาทปาติโมกข์แก่จาตุรงคสันนิบาต จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวาเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญา พระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเลศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์

พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา เป็นผู้สามารถจะแสดงพระธรรมจักรและพระจตุราริยสัจให้กว้างขวางพิศดารเสมอพระองค์ เมื่อมีภิกษุมาทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อจะเที่ยวจาริกไป พระพุทธเจ้ามักจะตรัสให้ภิกษุที่มาทูลลา ไปลาพระสารีบุตรก่อน เพื่อให้พระสารีบุตรได้สั่งสอน เช่นครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเทวทหะ ภิกษุเป็นจำนวนมากได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลลาไปชนบท พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั่งให้ไปลาพระสารีบุตร แล้วทรงยกย่องว่าพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญา อนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตทั้งหลาย เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิด ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

พระสารีบุตรได้รับการยกย่องมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "พระธรรมเสนาบดี" พระสงฆ์ผู้ประกาศพระศาสนา ได้ชื่อว่าธรรมเสนา เป็นกองทัพธรรมที่ประกาศเผยแผ่ธรรม เมื่อไปถึงที่ไหน ก็ทำให้เกิดประโยชน์และความสุขที่นั่น พระพุทธเจ้าเป็นจอมธรรมเสนา เรียกว่า "พระธรรมราชา" โดยมีพระสารีบุตรเป็นพระธรรมเสนาบดี หรือแม่ทัพฝ่ายธรรม

 

เป็นผู้มีความกตัญญู

พระสารีบุตรยังได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้มีความกตัญญู แม้ว่าพระสารีบุตรจะได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เป็นเลิศในทางปัญญา ท่านก็นับถือพระอัสสชิเป็นอาจารย์ เพราะพระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่ท่าน ทำให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรม และได้มาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เมื่อพระอัสสชิอยู่ในทิศใด เมื่อพระสารีบุตรจะนอน จะนมัสการไปทางทิศนั้นก่อน และหันศรีษะไปทางทิศนั้น ภิกษุที่ไม่รู้เรื่องเข้าใจผิดว่าท่าานนอบน้อมทิศตามลัทธิของพวกมิจฉาทิฏฐิ ความทราบถึงพระบรมศาสดา จึงตรัสว่าพระสารีบุตรไม่ได้นอบน้อมทิศ ท่านนมัสการพระอัสสชิผู้เป็นอาจารย์

ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อราธะ อยากจะอุปสมบทในพระพุทธศาสนา แต่ไม่มีภิกษุรูปใดรับอุปสมบทให้ เพราะเป็นผู้ชราเกินไป ราธะเมื่อไม่ได้บวชก็มีความเสียใจมาก มีร่างกายซูบซีด ผิวพรรณไม่ผ่องใส พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นราธะ จึงตรัสถามได้ความจริงแล้ว จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า มีใครระลึกถึงอุปการะของราธะบ้าง พระสารีบุตรได้กราบทูลว่าท่านระลึกได้ ครั้งหนึ่งท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ราธะได้ถวายข้าวแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระศาสดาทรงสรรเสริญว่า ท่านเป็นผู้กตัญญูดีนัก อุปการะเพียงเท่านี้ก็ยังจำได้ จึงตรัสให้ท่านรับบรรพชาอุปสมบทราธพราหมณ์

 

โปรดมารดาก่อนจะนิพพาน

พระสารีบุตรได้พิจารณาเห็นว่าอายุสังขารจวนสิ้นแล้ว ปรารถนาจะไปโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะนิพพานในห้องที่ท่านเกิด ปรากฏว่านางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดา เป็นผู้ไม่ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีความเสียใจที่พระสารีบุตรและน้อง ๆ พากันออกบวชในพระพุทธศาสนา พระสารีบุตรพยายามชักจูงมารดาให้มานับถือพระพุทธศาสนาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงดำริจะไปโปรดมารดาเป็นครั้งสุดท้าย

พระสารีบุตรได้กราบทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปนิพพานที่บ้านเกิด แล้วออกเดินทางกับพระจุนทะผู้เป็นน้อง กับพระที่เป็นบริวาร 500 องค์ เดินทางไปถึงหมู่บ้านนาลันทะ ซึ่งเป็นบ้านเกิด นางสารีพราหมณ์ผู้เป็นมารดา ได้จัดให้พระสารีบุตรพักในห้องที่เกิด และจัดเสนาสนะสำหรับเป็นที่อยู่ของภิกษุ 500 องค์ ที่เป็นบริวาร ในคืนวันนั้น ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 องค์ มีท้าวเวสสุวัน เป็นต้น ได้มาถวายนมัสการพระสารีบุตรซึ่งกำลังนอนอาพาธอยู่ เมื่อท้าวจาตุมหาราชกลับไปแล้ว ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ได้มาถวายนมัสการ เมื่อท้าวสักกเทวราชกลับไปแล้ว ท้าวสหัมบดีมหาพรหมก็ได้มาถวายนมัสการ มีรัศมีเปล่งปลั่งดังกองเพลิง ทำให้สว่างไสวไปทั้งห้อง เมื่อท้าวมหาพรหมกลับไปแล้ว นางสารีพราหมณีจึงได้ถามพระจุนทะเถระว่า ผู้ใดที่เข้ามาหาพี่ชายของท่าน พระจุนทะเถระจึงบอกมารดาว่า ท้าวจาตุมหาราช ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาพรหม ได้มาถวายนมัสการพระสารีบุตร

นางสารีพราหมณีได้ฟังดังนั้นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระสารีบุตรและพระพุทธเจ้า คิดว่าพระลูกชายของเรายังเป็นใหญ่กว่าท้าวจาตุมหาราช ท้าวสักกเทวราช และท้าวมหาพรหม พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นครูของพระลูกชายของเราจะต้องมีอิทธิศักดานุภาพยิ่งใหญ่ พระสารีบุตรได้รู้ว่า บัดนี้มารดาได้เกิดความปีติโสมนัสและศรัทธาในพระพุทธเจ้าแล้ว ถึงเวลาที่จะเทศนาทดแทนพระคุณของมารดาและโปรดมารดาให้เป็นสัมมาทิฏฐิ จึงได้เทศนาสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อจบเทศนาแล้ว นางสารีพราหมณีก็ได้พระโสดาปัตติผล

ในเวลารุ่งเช้า พระสารีบุตรก็นิพพาน พระจุนทะเถระได้ทำฌาปนกิจสรีระพระสารีบุตร เก็บอัฐิธาตุนำไปถวายพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ พระเชตวัน เมืองสาวัตถี พระพุทธเจ้าได้โปรดให้ก่อพระเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของพระสารีบุตรไว้ ณ ที่นั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นเลิศในความกตัญญูกตเวที และตรัสว่าลูกคนใดที่ทำให้พ่อแม่ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ลูกคนนั้นได้ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวทีอย่างสูง

 


ที่มา http://www.dharma-gateway.com

47085376
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
14659
49112
235450
46606637
571714
1172714
47085376

Your IP: 147.92.179.107
2024-11-15 10:18
© Copyright pariyat.com 2024. by กองทะเบียนและสารสนเทศ

Search