พาหิยทารุจิริยะ(พระพาหิยทารุจิริยเถระ)

พาหิยทารุจิริยะ(พระพาหิยทารุจิริยเถระ)
พระพาหิยรุจีริยเถระ
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อเดิม พาหิยะ
สถานที่บรรลุธรรม กรุงสาวัตถี พระพุทธเจ้าแสดงธรรมขณะออกบิณฑบาต
เอตทัคคะ ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้เร็วพลัน)
ฐานะเดิม
ชาวเมือง พาหิยรัฐ
วรรณะเดิม แพศย์
   

ประวัติ

ประวัติพระพาหิยทารุจีริยเถระ

เอตทัคคมหาสาวกผู้ผู้ตรัสรู้เร็ว

พระพาหิยทารุจีริยเถระผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว สำหรับพระเถระองค์นี้ แม้ว่าตามพระไตรปิฎก พระพุทธองค์จะทรงสถาปนาเป็นเอตทัคคะของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็วก็จริงอยู่ แต่ถ้าจะว่าตามตัวอักษรที่ปรากฏในพระไตรปิฎกแล้ว ท่านได้บรรลุพระอรหัตตั้งแต่ยังเป็นคฤหัสถ์ และได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างย่อจากพระพุทธองค์ที่กลางถนนในกรุงสาวัตถีแล้ว แต่ก่อนที่ท่านจะได้บรรพชาเป็นพระภิกษุท่านก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดและเสียชีวิต และการที่พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นเอตทัคคะของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็วนั้น นอกจากเหตุที่ท่านสามารถบรรลุธรรมได้เพียงแค่ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์เพียงย่อ ๆ เท่านั้น แต่ยังเนื่องจากท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป อีกด้วย ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้

 

ความปรารถนาในอดีต

กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แห่งหังสวดีนคร เมื่อเติบใหญ่ก็ได้เล่าเรียนจนถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มีความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านได้ไปยังสำนักของพระปทุมมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้ได้เร็วไว) ท่านปรารถนาจะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ครั้นเมื่อครบ ๗ วันแล้ว จึงหมอบลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลขอพรโดยเริ่มว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อ ๗ วันก่อนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้สถาปนาภิกษุองค์ใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือ พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าความปรารถนาของเขาจักสำเร็จผล จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุขิปปาภิญญาแล

เขาได้ทำบุญไว้เป็นอันมากจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก ได้เสวยสมบัติในกามาวจร ๖ ชั้นในเทวโลกนั้นแล้ว ก็ได้เสวยสมบัติมีจักรพรรดิสมาบัติ เป็นต้น ในมนุษยโลกอีกหลายร้อยโกฏิกัป จนสิ้นพุทธันดรหนึ่ง

 

บุรพกรรมในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า

ต่อมา ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง ได้ออกบวชหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ในเวลาต่อมาเมื่อพระศาสนาใกล้จะเสื่อมสิ้นลง เขาและภิกษุอีก ๖ รูป มองเห็นความเสื่อมในการประพฤติของบริษัท ๔ ก็พากันสังเวชสลดใจ คิดว่า ตราบใดที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสิ้นไป พวกเราจงเป็นที่พึ่งแก่ตนเองเถิด จึงพากันไปสักการะพระสุวรรณเจดีย์สูงหนึ่งโยชน์ที่มหาชนได้ร่วมกันสร้างเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้าทรงปรินิพพานแล้ว ได้มองเห็นภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง จึงชวนกันขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่บนภูเขาลูกนั้น โดยตั้งใจว่าถ้าไม่สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะยอมสิ้นชีวิตอยู่บนนั้น แล้วจึงตัดไม้ไผ่มาทำเป็นพะอง (บันไดไม้) เพื่อปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผาของภูเขานั้น เมื่อทั้งหมดพากันขึ้นไปยังยอดสูงของภูเขาลูกนั้นแล้ว ก็ผลักพะองให้ตกหน้าผาไปเพื่อไม่ให้มีทางกลับลงมาได้ แล้วต่างก็บำเพ็ญสมณธรรมอยู่บนนั้น

ในบรรดาภิกษุทั้ง ๗ รูปเหล่านั้น พระเถระผู้อาวุโสสูงสุด ก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยอภิญญา ๖ ในคืนนั้นเอง ครั้นรุ่งเช้าพระมหาเถระจึงไปสู่ หิมวันตประเทศด้วยฤทธิ์ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เที่ยวไปบิณฑบาตในอุตตรกุรุทวีป ฉันอาหารเสร็จแล้วได้ไปยังที่อื่นต่อไป ได้ภัตตาหารเต็มบาตรแล้ว เอาน้ำที่ สระอโนดาตล้างหน้าแล้วและเคี้ยวไม้สีฟันชื่อ อนาคลดา แล้วจึงนำภัตและสิ่งของเหล่านั้นมายังพระภิกษุเหล่านั้นที่ยังไม่บรรลุธรรมอันวิเศษ แล้วกล่าวว่า อาวุโส ทั้งหลาย บิณฑบาตนี้ผมนำมาจากแคว้นอุตรกุรุ น้ำและไม้สีฟันนี้นำมาจากหิมวันตประเทศ ท่านทั้งหลายจงฉันภัตตาหารนี้บำเพ็ญ สมณธรรมเถิด ผมจะอุปัฏฐากพวกท่านอย่างนี้ตลอดไป ภิกษุเหล่านั้นได้ฟัง แล้วจึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้าทำกิจเสร็จแล้ว พวกกระผม แม้เพียงสนทนากับพระคุณเจ้าก็เสียเวลาอยู่แล้ว บัดนี้ ขอพระคุณเจ้าอย่ามาหา พวกกระผมอีกเลย พระมหาเถระนั้นเมื่อไม่สามารถจะให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอม ได้โดยวิธีใด ๆ ก็หลีกไป

แต่นั้นบรรดาภิกษุเหล่านั้นรูปหนึ่ง โดยล่วงไป ๒-๓ วันได้เป็น พระอนาคามีได้อภิญญา ๕ ภิกษุนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างเช่นที่พระเถระที่บรรลุพระอรหัตทำเหมือนกัน ครั้นถูกภิกษุที่เหลือที่ยังไม่บรรลุธรรมใด ๆ ห้ามก็กลับไปเช่นเดียวกัน ภิกษุที่เหลือ ๕ องค์นั้น ครั้นถึงวันที่ ๗ จากวันที่ขึ้นไปสู่ภูเขาก็ยังไม่บรรลุคุณวิเศษไร ๆ จึงมรณภาพแล้วก็ไปเกิดในเทวโลก ฝ่ายพระเถระผู้เป็นขีณาสพก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง ท่านที่เป็นพระอนาคามีได้บังเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส เทพบุตรทั้ง ๕ เสวยทิพยสมบัติใน สวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นกลับไปกลับมา

 

กำเนิดเป็นพ่อค้าชื่อพาหิย ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ในพุทธุปบาทกาลนี้ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในมนุษยโลก

ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น คนหนึ่งไปเป็น โอรสเจ้ามัลละนามว่าปุกกุสะ (ต่อมาได้พบพระพุทธองค์ ได้ฟังธรรมและประกาศตนเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต) คนหนึ่งชื่อว่ากุมารกัสสปะ อยู่ในกรุงตักกสิลา แคว้นคันธาระ (ต่อมาได้บวชและบรรลุอรหัต และได้รับการสถาปนาเป็นเอตทัคคะผู้กล่าวธรรมได้วิจิตร) คนหนึ่งชื่อว่า พาหิยทารุจิริยะ คนหนึ่งชื่อว่าทัพพมัลลบุตร (ต่อมาได้ออกบวชและบรรลุเป็นพระอรหัตเป็นเอตทัคคะเลิศกว่าภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะ ) และคนหนึ่งชื่อว่า สภิยปริพพาชก (ต่อมาได้พบพระพุทธองค์ ทูลขอบรรพชาและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง)

ในบรรดาชน ๕ คนเหล่านั้น พาหิยทารุจิริยะคนนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพ่อค้าในพาหิยรัฐ ได้ชื่อว่า พาหิยะ เพราะเกิดในพาหิยรัฐ เขาเจริญวัยแล้วก็ประกอบอาชีพโดยเอาเรือบรรทุกสินค้ามากมายแล่นไปค้าขายยังคาบสมุทรอื่น กลับไปกลับมา สำเร็จความประสงค์ ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินค้าแล่นเรือไป เรือแล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ตั้งใจ เรือก็ต้องพายุอับปางลงในท่ามกลางสมุทร ผู้คนที่เหลือ ก็เสียชีวิตไปทั้งหมดเหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาได้เกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ลอยตัวอยู่ท่ามกลางคลื่น ในวันที่ ๗ ก็เข้าถึงฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ ท่านนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาดเพราะเสื้อผ้าถูกน้ำซัดไปหมด ด้วยความละอายเขาจึงได้ลุกขึ้นเข้าไประหว่างพุ่มไม้มองไม่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะใช้มาเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ จึงหักก้านไม้รัก เอาเปลือกพันกาย ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้ แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เจาะแผ่นกระดาษเอาเปลือกไม้ร้อยทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้ ท่านจึงได้ชื่อใหม่ว่า พาหิยทารุจีริยะ เพราะนุ่งผ้าทำด้วยไม้

เขานั้นก็เที่ยวถือชามกระเบื้องอันหนึ่ง เดินขอข้าวที่ท่าสุปปารกะ ชาวบ้านเห็นเข้าจึงคิดว่า ถ้าพระอรหันต์ยังมีในโลกอยู่ ท่านก็คงประพฤติอย่างนี้แหละ พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ จะรับผ้าที่เขาให้เอาไว้หรือไม่ หรือไม่รับเพราะความมักน้อย ก็ประสงค์จะทดลองใจดังนี้ เมื่อจะลองใจ จึงนำเอาผ้าจากที่ต่างๆ เข้าไปถวาย พาหิยทารุจีริยะคิดว่า ถ้าเราจะนุ่งหรือจะห่มผ้าไซร้ พวกเหล่านี้ก็จะไม่เลื่อมใสเรา ลาภและสักการะของเราก็จักเสื่อมสิ้นไป ฉะนั้นเราจำต้องไม่รับ ถ้าเราทำเช่นนี้ลาภสักการะก็จักเกิดขึ้นแก่เรา เมื่อเขาคิดอย่างนี้แล้ว จึงไม่ยอมรับผ้าที่พวกชาวบ้านนำมาถวาย ใช้สอยเฉพาะแต่ผ้าเปลือกไม้อย่างเดียว พวกชาวบ้านก็เกิดความเลื่อมใสว่า พระผู้เป็นเจ้านี้มักน้อยแท้ จึงกระทำสักการะเป็นอันมาก ฝ่ายเขารับประทานอาหารแล้ว ได้ไปยังเทวสถานแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล ฝูงชนก็ไปกับเขาเหมือนกัน และได้ทำการซ่อมแซมเทวสถานนั้นให้ เขาคิดว่า คนเหล่านี้เลื่อมใสเราเพียงเพราะเรานุ่งผ้าเปลือกไม้ จึงพากันทำสักการะถึงอย่างนี้ เราควรจะมีความประพฤติอย่างสูงสำหรับคนเหล่านี้ เขาจึงทำตัวเป็นผู้มีบริขารไม่มาก เป็นผู้มักน้อยอยู่ และเขาเมื่อถูกคนเหล่านั้นยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ก็เลยสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่นั้นการทำสักการะและทำความเคารพ ก็มีมากยิ่งๆ ขึ้น และท่านก็ได้มีปัจจัยมากมาย

 

พระเถระที่เป็นพระอนาคามีและไปเกิดเป็นพรหมมาเตือน

กล่าวถึงพระเถระที่ร่วมปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดเขาในครั้งกระโน้น และบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี เมื่อสิ้นชีวิตลงก็ได้ไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ตรวจดูพรหมสมบัติของตน ก็นึกรำลึกถึงเรื่องราวก่อนที่ตนจะมาเกิดในพรหมโลก รำลึกถึงเรื่องที่ตนขึ้นไปยังภูเขาก็เพื่อนสหธรรมิก เห็นที่บำเพ็ญสมณธรรมแล้ว จึงนึกถึงสถานที่ที่คนที่เหลืออีก ๖ คนไปเกิด ก็รู้ว่าท่านหนึ่งปรินิพพานแล้ว และรู้ว่า นอกนี้อีก ๕ คนไปบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร

ครั้นเวลาต่อมาก็ได้รำลึกถึงคนทั้ง ๕ เหล่านั้นอีก ก็สงสัยว่าเวลานี้คนทั้ง ๕ เหล่านั้นไปบังเกิดในที่ไหนหนอ เมื่อตรวจดูจึงได้เห็นทารุจิริยะ ผู้อาศัยท่าสุปปารกะเลี้ยงชีวิตด้วยการการหลอกลวงจึงคิดว่า เมื่อก่อน เขาผู้นี้พร้อมกับพวกเรา ผูกบันไดขึ้นภูเขาทำสมณธรรม ไม่อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอย่างยิ่ง แม้พระอรหันต์จะนำบิณฑบาตมาให้ก็ไม่ฉัน บัดนี้เพียงแค่ประสงค์แต่จะให้เขายกย่อง ตัวเองไม่เป็นพระอรหันต์เลย ก็ยังเที่ยวประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะมีความปรารถนาลาภ สักการะและชื่อเสียง อีกทั้งไม่รู้ว่าพระทศพลอุบัติขึ้นแล้ว เอาเถอะเราจักทำเขาให้สังเวชสลดใจแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว ดังนี้

ทันใดนั้นเองจึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหน้าท่านทารุจีริยะ ที่ท่าสุปปารกะ ตอนกลางคืน ท่านพาหิยะเห็นแสงสว่างโชติช่วงในที่อยู่ของตน จึงสงสัยว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น แล้วได้ออกไปข้างนอกเพื่อตรวจดูอยู่ ครั้นเมื่อออกมาแล้วก็แลเห็นท้าวมหาพรหมลอยอยู่ในอากาศ จึงยกมือขึ้นสักการะแล้วถามว่า ท่านเป็นใคร ? ท้าวมหาพรหมตอบว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน เมื่อครั้งนั้นเราบรรลุอนาคามิผล ตายแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก แต่ตัวท่านไม่สามารถจะทำคุณวิเศษอะไรให้บังเกิดได้ ท่านทำตัวเป็นเดียรถีย์ ตนไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย ยังเที่ยวคิดว่า ตนเป็นพระอรหันต์

ดูก่อนพาหิยะ เรารู้ดังนี้จึงได้มาหาท่าน เพื่อจะเตือนท่านว่า ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์ หรือไม่เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือเครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค ท่านจงสละทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นเสียเถิด ท่านอย่าได้ทำตนให้เกิดความฉิบหาย ทำตนเพื่อให้เกิดทุกข์ตลอดกาลนานเลย

ฝ่ายพาหิยะ มองดูท้าวมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศแล้ว คิดว่า โอ เราได้กระทำกรรมหนักหนอ เรามิได้เป็นพระอรหันต์ แต่คิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ท้าวมหาพรหมนี้กล่าวกะเราว่า ท่านไม่ใช่เป็นพรอรหันต์เลย ทั้งท่านก็มิได้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัตด้วย

ลำดับนั้น พาหิยะจึงถามท่านท้าวมหาพรหมนั้นว่า

เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกใครเล่า เป็นพระอรหันต์ หรือว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามหนทางพระอรหัต ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมจึงบอกเขาว่า พาหิยะ ในอุตตรชนบทมีพระนครหนึ่ง ชื่อสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กำลังประทับอยู่ในพระนครนั้น พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ และทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนเป็นพระอรหันต์ ท่านจงเข้าไปเฝ้าพระองค์เถิด

ในราตรีนั้นเอง พาหิยะด้วยความสังเวชสลดใจ จึงได้ออกจากท่าสุปปารกะ แล้วได้เดินทางไปยังกรุงสาวัตถีระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ โดยคืนเดียวด้วยอานุภาพแห่งเทวดา

เมื่อเขาถึงกรุงสาวัตถี ก็เป็นเวลารุ่งเช้า ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พาหิยะมาถึง ทรงพระดำริว่า ชั้นแรก อินทรีย์ของท่านพาหิยะยังไม่แก่กล้า แต่ในระหว่างชั่วครู่หนึ่งจักถึงความแก่กล้า ดังนี้แล้ว จึงต้องรอคอยให้ท่านมีอินทรีย์แก่กล้าเสียก่อน จึงเสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ส่วนท่านพาหิยะนั้นก็เข้าไปยังพระเชตวัน เห็นภิกษุเป็นอันมากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว จงกรมอยู่ในที่กลางแจ้ง จึงถามว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี แล้วถามว่า ก็ท่านเล่ามาแต่ไหน ? ท่านตอบว่า มาจากท่าสุปปารกะ ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านมาไกล เชิญนั่งก่อน จงล้างเท้า ทาน้ำมัน แล้วพักสักหน่อยหนึ่ง ในเวลาพระองค์กลับมา ก็จะเห็นพระองค์

ท่านพาหิยะกล่าวว่า ท่านขอรับ กระผมไม่รู้ว่าชีวิตของกระผมจะสิ้นไปเมื่อใด กระผมเดินทางมาโดยไม่พักนานตลอดระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ เพียงขอให้ได้เฝ้าพระศาสดาแล้วจึงจะพักผ่อน

เขาพูดอย่างนั้นแล้วก็รีบร้อน เดินทางเข้าไปยังกรุงสาวัตถี ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งกำลังเสด็จจาริกไป เมื่อท่านพาหิยะได้แลเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้ ก็บังเกิดปิติขึ้นท่วมท้น แล้วก็น้อมสรีระไปแล้ว กราบลงที่ระหว่างถนนด้วยเบญจางคประดิษฐ์จับที่ข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว กราบทูลว่า อาราธนาพระพุทธองค์ให้แสดงธรรมโปรด

ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตรัสห้ามเขาไว้ด้วยเหตุว่ามิใช่เวลาเหมาะ เพราะเป็นเวลาที่พระพุทธองค์จะทรงบิณฑบาต พาหิยะ ก็ได้กราบทูลวิงวอนซ้ำอีก พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสห้ามอีกเป็นครั้งที่สอง ในครั้งที่สามเมื่อท่านพาหิยะทูลวิงวอนอีก พระศาสดาได้มีพระดำริว่า ที่ท่านห้ามท่านพาหิยะถึงสองครั้งก็ด้วยเหตุว่า นับตั้งแต่เวลาที่ท่านพาหิยะเห็นพระพุทธองค์แล้ว เขาก็มีปิติท่วมท้นไปทั้งร่างกาย ในช่วงเวลาที่ปิติมีกำลังมากนี้ แม้จะได้ฟังธรรม ก็จักไม่ทำให้ท่านสามารถบรรลุธรรมได้เลย อีกประการหนึ่งเป็นเพราะทรงเห็นว่าพาหิยะมีความกระวนกระวายในการฟังธรรมมาก ซึ่งก็เป็นเหตุให้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน เพราะเหตุนั้นพระศาสดาจึงตรัสห้ามถึง ๒ ครั้ง ครั้นเมื่อเขาทูลขอในครั้งที่ ๓ ทรงพิจารณาเห็นความแกร่งกล้าในอินทรีย์ของท่านพาหิยะพร้อมแล้ว จึงทรงประทับยืนอยู่ในระหว่างทางและได้ทรงแสดงธรรมโดยย่อว่า

ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง

        ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล

       ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

พาหิยะนั้นขณะกำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั่นแล ได้ทำอาสวะทั้งปวงให้หมดสิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ ครั้นแล้วท่านจึงได้ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านว่า ท่านนั้นได้มีบาตรและจีวรครบแล้วหรือ ? ท่านพาหิยะกราบทูลว่า ยังไม่มี พระเจ้าข้า พระศาสดาจึงตรัสให้ท่านไปแสวงหาบาตรและจีวรมาก่อน แล้วก็เสด็จหลีกไป

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้นแก่เขาแน่จึงมิได้ประทานการบรรพชาด้วยเอหิภิกขุ

ได้ทราบมาว่า ในอดีตที่ท่านพาหิยะบำเพ็ญสมณธรรมมาสิ้น ๒ หมื่นปี ท่านไม่ได้ทำการสงเคราะห์บาตรหรือจีวรแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่งเลย อรรถกถาจารย์บางท่านกล่าวว่า ในอดีต เมื่อสมัยโลกว่างจากพระพุทธศาสนา ท่านเป็นโจร เที่ยวไปในป่า เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใช้ธนูยิงท่านแล้วถือเอาบาตรและจีวรไป ด้วยเหตุนั้น บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์จึงมิปรากฏ

ในเวลาที่ท่านพาหิยทารุจิยะกำลังแสวงหาบาตรและจีวร จากกองขยะอยู่นั้น ขณะที่ท่านกำลังดึงเอาเศษผ้าออกจากกองขยะอยู่ นางยักษิณีผู้มีเวรกันในกาลก่อน เข้าสิงในร่างของโคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง วิ่งเข้าขวิดท่านที่โคนขาข้างซ้าย ล้มลงเสียชีวิตอยู่ในกองขยะนั่นเอง

 

บุรกรรมของพาหิยทารุจิยะและนางยักษิณี

ได้ยินว่า โคแม่ลูกอ่อนนั้น เป็นยักษิณีตนหนึ่ง เป็นแม่โค ปลงชีวิตคนทั้ง ๔ นี้ คือ กุลบุตรชื่อปุกกุสาติ ๑ พาหิยทารุจิยะ ๑ นายโจรฆาตกะชื่อตัมพทาฐิกะ ๑ สุปปพุทธกุฏฐิ ๑ จากชีวิตคนละร้อยชาติ เรื่องในอดีตมีอยู่ว่า ชนเหล่านั้น เป็นบุตรเศรษฐีทั้ง ๔ คน นำหญิงแพศยาผู้เป็นนครโสเภณีคนหนึ่งไปสู่สวนอุทยาน ร่วมภิรมย์กันตลอดวันแล้วได้มอบทรัพย์หนึ่งพันกหาปนะและเครื่องประดับอันมีค่าให้เป็นค่าจ้าง ครั้นตกเย็น ได้ปรึกษากันอย่างนี้ว่า “ในที่นี้ไม่มีคนอื่น เราทั้งหลาย จักฆ่าหญิงนี้เสียกันเถิด แล้วเอาทรัพย์ และเครื่องประดับทั้งหมดนั้นคืนมาเถิด

” หญิงนั้นเมื่อฟังถ้อยคำของบุตรเศรษฐีเหล่านั้นแล้ว คิดว่า “ชนพวกนี้ไม่มียางอาย อภิรมย์กับเราแล้ว บัดนี้ ปรารถนาจะฆ่าเรา เราจักอาฆาตชนเหล่านั้น” เมื่อถูกชนเหล่านั้นฆ่าอยู่ ได้กระทำความปรารถนาว่า “ขอเราพึงเป็นยักษิณี ผู้สามารถฆ่าชนเหล่านั้น เหมือนอย่างที่พวกนี้ฆ่าเราฉะนั้น”

 

พระพุทธองค์ทรงให้ปลงศพและก่อสถูป

พระศาสดา เสด็จจาริกไปบิณฑบาตแล้วทรงกระทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ขณะกำลังเสด็จออกพร้อมกับพวกภิกษุมากรูป ได้ทอดพระเนตรเห็นร่างของพาหิยะ ซึ่งฟุบจมกองขยะแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อนสพรหมจารีของพวกเธอปรินิพพานแล้ว และตรัสให้พระภิกษุนำร่างของท่านพาหิยะขึ้นเตียงนำออกไปทางประตูเมือง และให้ทำการฌาปนกิจ เก็บเอาธาตุไว้ก่อเป็นสถูป พวกภิกษุเหล่านั้น ดำเนินการตามที่พระบรมศาสดาทรงตรัส แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ได้กราบทูลให้ทรงทราบถึงการงานที่ตนได้ทำเสร็จแล้ว และทูลถามพระพุทธองค์ถึงคติภพ (ภพเบื้องหน้า) ของท่านพาหิยะ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสบอกแก่ภิกษุเหล่านั้นว่าท่านพาหิยะปรินิพพานแล้ว ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตที่ไหน และเมื่อตรัสว่า ในเวลาที่ฟังธรรมของเรา พวกภิกษุจึงทูลถามว่า ก็พระองค์แสดงธรรมแก่ท่านในเวลาไหน พระศาสดาตรัสว่า เมื่อเรากำลังบิณฑบาตยืนอยู่ระหว่างถนนวันนี้เอง ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระองค์ยืนตรัสในระหว่างถนนนั้นมีประมาณน้อย ท่านทำคุณวิเศษให้เกิดด้วยเหตุเพียงเท่านั้นได้อย่างไร พระศาสดาเมื่อทรงแสดงว่า ภิกษุทั้งหลายเธออย่าประมาณธรรมของเราว่ามีน้อยหรือมาก แม้คาถาตั้งหลายพันแต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ประเสริฐเลย ส่วนบทคาถาแม้บทเดียวซึ่งประกอบด้วยประโยชน์ยังประเสริฐกว่า

พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ (เหตุเกิดเรื่อง) จึงสถาปนาท่านพาหิยะทารุจิริยะไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลาย ผู้ตรัสรู้ได้โดยพลัน


ที่มา http://www.dharma-gateway.com

47689708
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
32018
31740
155505
47135237
1176046
1172714
47689708

Your IP: 193.186.4.164
2024-11-27 20:31
© Copyright pariyat.com 2024. by กองทะเบียนและสารสนเทศ

Search