เก็บตกข้อสอบสนามหลวง วินัยมุข นักธรรมตรี

กัณฑ์ที่ ๑  อนุศาสน์

๑. ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างไร จึงชื่อว่ามีศีล? (๒๕๕๕)
     ตอบ
: ภิกษุสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย เว้นข้อที่ทรงห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาต จึงชื่อว่ามีศีล

๖. นิสสัย ๔ ในอนุศาสน์ ๘ อย่าง หมายถึงอะไร? มีอะไรบ้าง?(๒๕๕๕)
     ตอบ
: หมายถึง ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต ฯ มี
            ๑.เที่ยวบิณฑบาต
            ๒.นุ่งห่มผ้าบังสกุล
            ๓.อยู่โคนไม้
            ๔.ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ

๗. นิสสัย คืออะไร ? มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?(๒๕๕๓)
     ตอบ
: คือ ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต ฯ มี ๔ อย่าง ฯคือ
            ๑. เที่ยวบิณฑบาต ๒. นุ่งห่มผ้าบังสุกุล๓. อยู่โคนไม้ ๔. ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า ฯ

๘. อรณียกิจ ๔ คืออะไร ? ข้อที่ ๓ ว่าอย่างไร(๒๕๕๑)
     ตอบ
: คือ กิจที่ไม่ควรทำ ๔ ฯ ว่า ฆ่าสัตว์ ฯ

กัณฑ์ที่ ๑  อุปสัมปทา

๒. อกรณียกิจ คือกิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๖)
     ตอบ
: มี ๔ อย่าง ฯ คือ
            ๑. เสพเมถุน ๒. ลักของเขา๓. ฆ่าสัตว์ ๔. พูดอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน ฯ

๒. กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำซึ่งเรียกว่า อกรณียกิจ มีกี่อย่าง ?  อะไรบ้าง ? (๒๕๔๙)
     ตอบ : มี ๔ อย่างฯ คือ
            ๑. เสพเมถุน๒. ลักของเขา ๓. ฆ่าสัตว์ ๔. พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ฯ         

๓. กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำเรียกว่าอะไร ?  มีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๘)
     ตอบ
: เรียกว่าอกรณียกิจ ฯ  มีดังนี้คือ
            ๑. เสพเมถุน     ๒. ลักทรัพย์     ๓. ฆ่าสัตว์      ๔. พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ฯ

๔. อุปสัมปทา (การอุปสมบท) มี ๓ วิธี  ในปัจจุบันใช้วิธีไหน ?  กำหนดสงฆ์อย่างต่ำไว้เท่าไร ? (๒๕๔๗)
     ตอบ
: ใช้ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา  การอุปสมบทด้วยกรรมมีญัตติเป็นที่ ๔ ฯ
            กำหนดสงฆ์อย่างต่ำไว้คือ  ในมัธยมประเทศ ๑๐ รูป  ในปัจจันตชนบท ๕ รูป ฯ

๙. นิสสัยและอกรณียกิจคืออะไร ? ทั้ง ๒ อย่างรวมเรียกว่าอะไร ? (๒๕๔๗)
     ตอบ
: นิสสัยคือ ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต,  อกรณียกิจคือ กิจที่บรรพชิตไม่ควรทำ ฯ  ทั้ง ๒ อย่าง รวมเรียกว่า อนุศาสน์ ฯ

กัณฑ์ที่ ๒  พระวินัย

๒. อาบัติ คืออะไร ? อาการที่ภิกษุต้องอาบัติมี ๖ อย่าง จงบอกมาสัก๓ อย่าง ฯ (๒๕๕๖)
     ตอบ
:คือ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ฯ(เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ)
            ๑. ต้องด้วยไม่ละอาย
            ๒. ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
            ๓. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
            ๔. ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
            ๕. ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
            ๖. ต้องด้วยลืมสติฯ

๒. อเตกิจฉา และสเตกิจฉา ได้แก่อาบัติอะไร? ทั้ง ๒ อย่างนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้ว จะเกิดโทษอย่างไร? (๒๕๕๕)
     ตอบ
: อเตกิจฉา อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ คือ ปาราชิก ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุ ฯ
            สเตกิจฉา อาบัติที่แก้ไขได้ คือ สังฆาทิเสส และอาบัติอีก ๕ ที่เหลือ ฯ สังฆาทิเสสต้องอยู่กรรมจึงพ้นได้ อาบัติอีก ๕ ที่เหลือพึงแสดงต่อหน้าสงฆ์หรือคณะหรือรูปใดรูปหนึ่งจึงพ้นได้ ฯ

๓. พระภิกษุผู้รักษาพระวินัยดีโดยถูกทางแล้ว ย่อมได้อานิสงส์อะไร ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
: ย่อมได้อานิสงส์ คือ ความไม่ต้องเดือดร้อนใจ ฯ

๑๒. สิกขา สิกขาบท และอาบัติ ได้แก่อะไร ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
: สิกขา ได้แก่ ข้อที่ภิกษุควรศึกษา มี ๓ อย่าง คือ สีลสิกขา จิตตสิกขาและปัญญาสิกขา
            สิกขาบท ได้แก่ พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ
            อาบัติ ได้แก่ โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ฯ

๑๓. อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติ มีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
: มี ๑) ต้องด้วยไม่ละอาย  ๒) ต้องด้วยไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเป็นอาบัติ  ๓) ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำ  ๔) ต้องด้วย สำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร  ๕)ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร ๖) ต้องด้วยลืมสติ  ฯ

๑๔. ครุกาบัติ ที่แก้ไขได้ก็มี ที่แก้ไขไม่ได้ก็มี ที่แก้ไขได้ได้แก่อาบัติอะไรที่แก้ไขไม่ได้ได้แก่อาบัติอะไร ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
: ที่แก้ไขได้ ได้แก่อาบัติสังฆาทิเสส,ที่แก้ไขไม่ได้ ได้แก่อาบัติปาราชิก ฯ

๑๕. พระวินัย ได้แก่อะไร ? สิกขาบทที่เป็นอเตกิจฉา คือที่ภิกษุล่วงละเมิดแล้วไม่สามารถจะแก้ไขได้ ได้แก่อะไร ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: ได้แก่ พระพุทธบัญญัติ และอภิสมาจาร ฯ, ได้แก่ ปาราชิก ๔ ฯ

๑๖. พุทธบัญญัติและอภิสมาจาร คืออะไร ? ทั้ง ๒ รวมเรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๒)
     ตอบ
: พุทธบัญญญัติ  คือข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้น  เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดด้วยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง
            ส่วนอภิสมาจาร คือขนบธรรมเนียมที่ทรงแต่งตั้งขึ้น เพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ ทั้ง ๒ นี้รวมเรียกว่า พระวินัย ฯ

๑๗. อาบัติ คืออะไร ? อาบัติที่เป็นโลกวัชชะและที่เป็นปัณณัตติวัชชะหมายความว่าอย่างไร ? จงยกตัวอย่างประกอบด้วย (๒๕๕๒)
     ตอบ
: พระพุทธเจ้าห้าม ฯ อาบัติที่เป็นโลกวัชชะหมายความว่า อาบัติที่มีโทษซึ่งภิกษุทำเป็นความผิดความเสีย คนสามัญทำก็เป็น  ความผิดความเสียเหมือนกัน เช่น ทำโจรกรรม เป็นต้น ส่วนที่เป็นปัณณัตติวัชชะหมายความว่า อาบัติที่มีโทษเฉพาะภิกษุทำ แต่คนสามัญทำไม่เป็นความผิดความเสีย เช่น ขุดดิน เป็นต้น ฯ

๑๘. พระศาสดาทรงบัญญัติพระวินัยไว้เพื่ออะไร ? (๒๕๕๐)
     ตอบ
: ๑) เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายของภิกษุสงฆ์ และ
            ๒) เพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ

๑๙. อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติ มีเท่าไร ? ต้องด้วยไม่ละอาย มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๐)
     ตอบ
: มี ๖ อย่าง ฯ, ภิกษุรู้อยู่แล้ว และละเมิดพระบัญญัติด้วยใจด้านไม่รู้จักละอาย ชื่อว่าต้องด้วยไม่ละอาย ฯ

๑๒. เมื่อภิกษุต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๐)
     ตอบ
: พึงบอกภิกษุด้วยกันในวันนั้น และพึงแก้ไขตามวิธีนั้น ๆ ฯ

๑๓. พระศาสดาผู้เป็นสังฆบิดรดูแลภิกษุสงฆ์ ทรงทำหน้าที่ทางพระวินัยอย่างไร ? (๒๕๔๙)
     ตอบ
: ทรงทำหน้าที่ ๒ ประการ คือ
            ๑. ทรงตั้งพุทธบัญญัติเพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย และวางโทษแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิดด้วยปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง
            ๒. ทรงตั้งขนบธรรมเนียม ซึ่งเรียกว่าอภิสมาจารเพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม ฯ

๑๔. ทำไมต้องมีพระวินัยสำหรับปกครองหมู่ภิกษุ และหมู่ภิกษุทำไมต้องประพฤติตามพระวินัย ? (๒๕๔๙)
     ตอบ
: หากจะไม่มีพระวินัยสำหรับปกครอง หรือหมู่ภิกษุจะไม่ประพฤติตามพระวินัย ก็จะเป็นหมู่ภิกษุที่เลวทราม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาและเลื่อมใส แต่ถ้าต่างรูปประพฤติตามพระวินัย ก็จะเป็นหมู่ภิกษุที่ดี ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส พระวินัยจึงรักษาหมู่ภิกษุให้ตั้งอยู่เป็นอันดี และทำให้เป็นหมู่ที่งดงาม ฯ

๑๕. คำว่า ต้องอาบัติ หมายความว่าอย่างไร ?  อาบัติมีโทษกี่สถาน ?  อะไรบ้าง ? (๒๕๔๙)
     ตอบ
: หมายความว่า ต้องโทษ คือมีความผิดฐานละเมิดข้อที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ฯ  มี ๓ สถาน คือ อย่างหนัก อย่างกลาง และ อย่างเบา   (หรือจะตอบว่า มี ๒ สถาน คือ แก้ไขได้ และแก้ไขไม่ได้ ก็ได้)

๑๖. คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ? (๒๕๔๘)  ก. สจิตตกะ    ข. อจิตตกะ         
             ตอบ : ก. อาบัติที่ต้องเพราะมีเจตนาล่วงละเมิด
             ข. อาบัติที่ต้องแม้ไม่มีเจตนาล่วงละเมิด ฯ

๑๗. พระวินัย คืออะไร ?  พระภิกษุรักษาพระวินัยดีแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไร ? (๒๕๔๗)
     ตอบ
: คือ พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯพระภิกษุรักษาพระวินัยดีแล้วย่อมได้รับอานิสงส์คือ ความไม่ต้องเดือดร้อนใจ ได้รับ  ความแช่มชื่นว่า ได้ประพฤติดีงาม เข้าหมู่สงฆ์ก็อาจหาญ ฯ

๑๘. อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติข้อที่ว่า ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง มีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๔๗)
     ตอบ
: มีอธิบายว่า ภิกษุสงสัยอยู่ว่า ทำอย่างนั้นๆ ผิดพระบัญญัติหรือไม่ แต่ขืนทำด้วยความสะเพร่าเช่นนี้ถ้าการที่ทำนั้นผิดพระบัญญัติก็ต้องอาบัติตามวัตถุ ถ้าไม่ผิดก็ต้องอาบัติทุกกฎเพราะสงสัยแล้วขืนทำ ฯ

กัณฑ์ที่ ๓ สิกขาบท

๑. อาบัติว่าโดยชื่อมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: มี ๗ อย่าง ฯ คือ ๑. ปาราชิก ๒. สังฆาทิเสส ๓. ถุลลัจจัย๔. ปาจิตตีย์ ๕. ปาฏิเทสียะ ๖. ทุกกฏ ๗. ทุพภาสิต ฯ

๒. สิกขากับสิกขาบท  ต่างกันอย่างไร ? อย่างไหนมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? (๒๕๕๒)
     ตอบ
: สิกขา  คือ ข้อที่ภิกษุต้องศึกษา  มี ๓  ได้แก่ สีลสิกขา จิตตสิกขา  ปัญญาสิกขา ส่วนสิกขาบท  คือพระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ เป็นสิกขาบทหนึ่ง ๆ  มี ๒๒๗ สิกขาบท  ได้แก่ ปาราชิก ๔  สังฆาทิเสส๑๓  อนิยต ๒  นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐  ปาจิตตีย์ ๙๒  ปาฏิเทสนียะ ๔   เสขิยะ ๗๕  และอธิกรณสมถะ ๗ ฯ 

๓. อะไรเรียกว่า สิกขาบท ?  มาจากไหน ? (๒๕๕๑)
     ตอบ
: พระบัญญัติมาตราหนึ่ง ๆ เรียกว่า สิกขาบท ฯ, มาในพระปาติโมกข์ ๑ มานอกพระปาติโมกข์ ๑ ฯ

๔. สิกขาบทที่มีมาในพระปาติโมกข์ มีเท่าไร ?   ว่าโดยหมวดมีอะไรบ้าง ? (๒๕๕๐)
     ตอบ
: มี ๒๒๗ สิกขาบท ฯมี  ปาราชิก ๔   สังฆาทิเสส ๑๓   อนิยต ๒   นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐  ปาจิตตีย์ ๙๒   ปาฏิเทสนียะ ๔   เสขิยะ ๗๕   อธิกรณสมถะ ๗ ฯ

๕. สิกขา กับ สิกขาบท ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๔๗)
     ตอบ
: ต่างกันอย่างนี้ สิกขา ได้แก่ข้อที่ควรศึกษา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา  สิกขาบท ได้แก่ พระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ ฯ

กัณฑ์ที่ ๔ ปาราชิก ๔

๑. ภิกษุพยายามฆ่าตนเอง แต่ทำไม่สำเร็จ จะต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๕๖)
     ตอบ
: ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ  

๒. ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
: ฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องอาบัติปาราชิก ฆ่าอมนุษย์ให้ตาย
             ต้องอาบัติถุลลัจจัย  ฆ่าสัตว์เดรัจฉานให้ตาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

๓. ภิกษุโจทก์ภิกษุอื่นด้วยอาบัติไม่มีมูล เป็นอาบัติอะไรบ้าง ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: โจทก์ด้วยอาบัติปาราชิก เป็นอาบัติสังฆาทิเสสโจทก์ด้วยอาบัตินอกนี้ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

๔. ในสิกขาบทที่ ๒ แห่งอาบัติปาราชิก  ทรัพย์เป็นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิก อาบัติถุลลัจจัย และอาบัติทุกกฏมีกำหนดราคาไว้เท่าไร ?(๒๕๕๒)
     ตอบ
: มีกำหนดราคาไว้ดังนี้
             ทรัพย์ มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป เป็นเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิก
             ทรัพย์ มีราคาไม่ถึง ๕ มาสก แต่มากกว่า ๑ มาสก เป็นเหตุให้ต้องอาบัติถุลลัจจัย
             ทรัพย์ มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสกลงมา เป็นเหตุให้ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

๕. สังหาริมทรัพย์ และ อสังหาริมทรัพย์คือทรัพย์เช่นไร ?  ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุดในเพราะลักทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้นเมื่อใด ?(๒๕๕๒)
     ตอบ
: สังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ อสังหาริมทรัพย์ คือทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ฯสำหรับสังหาริมทรัพย์ ภิกษุจะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่เดิม   ส่วนสังหาริมทรัพย์ จะต้องอาบัติถึงที่สุด ในเมื่อเจ้าของทอดกรรมสิทธิ์ ฯ

๖. อุตตริมนุสสธรรม คืออะไร ?  มีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๙)
     ตอบ
: คือ ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ หรือคุณอย่างยวดยิ่งของมนุษย์ ฯ  มี ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรคผล นิพพาน ฯ

๗. ในอทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์ เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง ? (๒๕๔๙)
     ตอบ
: ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสก ขึ้นไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
             ทรัพย์มีราคาต่ำกว่า ๕ มาสก แต่สูงกว่า ๑ มาสก เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย
             ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสก ลงไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ ฯ

๘. ภิกษุฆ่าสัตว์ให้ตายและพยายามฆ่าตนเอง ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๔๘)
     ตอบ
: ฆ่ามนุษย์ให้ตาย  ต้องอาบัติปาราชิก  ฆ่าอมนุษย์ให้ตาย  ต้องอาบัติถุลลัจจัย
             ฆ่าสัตว์เดรัจฉานทั่วไปให้ตาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์  พยายามฆ่าตนเอง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

กัณฑ์ที่ ๕  สังฆาทิเสส ๑๓

๑. ข้อความว่า ภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ตามสิกขาบทที่ ๕ แห่งสังฆาทิเสสนั้น หมายถึงการทำอย่างไร ? (๒๕๕๖)
     ตอบ
: หมายถึงการที่ภิกษุบอกความประสงค์ของชายแก่หญิงหรือบอกความประสงค์ของหญิงแก่ชายในความเป็นผัวเมีย ฯ

๒. ภิกษุจับต้องกายมารดาในเวลาพยาบาลไข้ด้วยจิตกตัญญู ปรับเป็นอาบัติทุกฏฏผิดหรือถูกเพราะเหตุไร? (๒๕๕๕)
     ตอบ
: เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะมารดาเป็นวัตถุอนามาส

๓. คำว่า  อาบัติที่ไม่มีมูล  กำหนดโดยอาการอย่างไร ?   ภิกษุโจทภิกษุด้วยอาบัติไม่มีมูลต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๕๒)
     ตอบ
: กำหนดโดยอาการ ๓  คือ ไม่ได้เห็นเอง ๑  ไม่ได้ยินเอง ๑  ไม่ได้เกิด รังเกียจสงสัย ๑  ว่าภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ   โจทด้วยอาบัติปาราชิกต้องอาบัติสังฆาทิเสส  โจทด้วยอาบัติอื่นจากอาบัติปาราชิก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

๔. สังฆาทิเสส มีกี่สิกขาบท ? ภิกษุต้องอาบัตินี้จะพ้นได้ด้วยวิธีอย่างไร ? (๒๕๕๑)
     ตอบ
: มี ๑๓ สิกขาบท ฯด้วยวิธีอยู่กรรม ที่เรียกว่า วุฏฐานคามินี ฯ

๕. ภิกษุรู้ตัวว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส จึงแสดงอาบัตินั้นต่อภิกษุอีกรูปหนึ่ง อย่างนี้จะพ้นจากอาบัตินั้นได้หรือไม่  เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๐)
     ตอบ
: พ้นไม่ได้ เพราะอาบัติสังฆาทิเสสนั้น ภิกษุผู้ต้องจะพ้นได้ด้วยอยู่กรรม ฯ

๖. ภิกษุมีความกำหนัดจับต้องกายหญิง กะเทย บุรุษ สัตว์ดิรัจฉานเพศผู้สัตว์ดิรัจฉานเพศเมีย ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๔๙)
     ตอบ
: ภิกษุมีความกำหนัดจับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส จับต้องกายกะเทย ต้องถุลลัจจัย จับต้องกายบุรุษ จับต้องสัตว์ดิรัจฉานทั้งเพศผู้เพศเมีย ต้องทุกกฏ ฯ

๗. คำว่า มาตุคาม ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๒, ๓, ๔ และ ๕  ต่างกันอย่างไร ?  (๒๕๔๗)
     ตอบ
: มาตุคามในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒ หมายรวมทั้งหญิงที่รู้เดียงสาและไม่รู้เดียงสา โดยที่สุดแม้เกิดในวันนั้น  ส่วนมาตุคามในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓, ๔ และ ๕  หมายเฉพาะหญิงผู้รู้เดียงสาแล้วเท่านั้น ฯ

กัณฑ์ที่ ๕  อนิยต ๒

๑. ที่ลับตา กับที่ลับหู ต่างกันอย่างไร ?   ที่ลับทั้ง ๒ นั้น เป็นทางให้ปรับอาบัติได้มากน้อยกว่ากันอย่างไร ? (๒๕๕๐)
     ตอบ
: ต่างกันอย่างนี้ ที่ที่มีสิ่งกำบัง เห็นกันไม่ได้ เรียกว่า ที่ลับตา   ที่ที่ไม่มีสิ่งกำบัง เห็นกันได้ แต่ฟังเสียงพูดกันไม่ได้ยิน เรียกว่า ที่ลับหู ฯ ที่ลับตา เป็นทางให้ปรับอาบัติได้มากกว่า คือตั้งแต่ปาราชิก สังฆาทิเสส ถึง ปาจิตตีย์ส่วนที่ลับหู เป็นทางให้ปรับอาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสลงมา ฯ

๒. ในอนิยต ที่ลับตา และที่ลับหู ได้แก่ที่เช่นไร ?  ภิกษุอยู่กับมาตุคามสองต่อสองในที่เช่นนั้น เป็นทางปรับอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๔๗)
     ตอบ
: ลับหู ได้แก่ ที่แจ้ง แลเห็นได้ แต่ห่าง ไม่ได้ยินเสียงพูด ฯ ในที่ลับตา เป็นทางปรับอาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส และ ปาจิตตีย์ ในที่ลับหู เป็นทางปรับอาบัติสังฆาทิเสส และ ปาจิตตีย์ ฯ

กัณฑ์ที่ ๖  นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐

๑. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หมายความว่าอย่างไร ?  ภิกษุต้องอาบัตินี้แล้ว ทำอย่างไรจึงจะพ้น ? (๒๕๔๙)
     ตอบ
: นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หมายความว่า อาบัติปาจิตตีย์ ที่จำต้องสละสิ่งของ ฯ   ภิกษุต้องอาบัตินี้แล้วต้องสละสิ่งของอันเป็นเหตุให้ต้องอาบัตินั้นก่อน  แล้วแสดงอาบัติจึงพ้นจากอาบัตินั้นได้ ฯ

กัณฑ์ที่ ๖  จีวรวรรคที่ ๑

๑. ไตรจีวร อติเรกจีวร ได้แก่จีวรเช่นไร ? (๒๕๕๖)
     ตอบ
: ไตรจีวร ได้แก่จีวร ๓ ผืน ประกอบด้วย อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) และสังฆาฏิ (ผ้าคลุมหรือผ้าทาบ) ฯอติเรกจีวร ได้แก่ผ้ามีขนาดกว้าง ๔ นิ้วยาว ๘ นิ้ว ซึ่งอาจนำไปทำเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ นอกจากผ้าที่อธิษฐาน ฯ

๒. ภิกษุขอจีวรต่อสามีของน้องสาวแล้วได้มา เธอจะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๖)
     ตอบ :
ถ้าสามีของน้องสาวเป็นญาติก็ดีมิใช่ญาติแต่ปวารณาก็ดี ไม่ต้องอาบัติถ้ามิใช่ญาติและมิได้ปวารณาเป็นเพียงน้องเขย ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์เว้นไว้แต่สมัย (คือในเวลาจีวรถูกขโมยหรือเสียหาย) ฯ

 ๓. ไตรจีวรประกอบด้วยผ้าอะไรบ้าง ? ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร ต้องปฏิบัติอย่างไร ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
:ประกอบด้วย ผ้าสังฆาฏิ ผ้าอุตตราสงค์ และผ้าอันตรวาสก ฯต้องสละไตรจีวรผืนที่อยู่ปราศจากนั้นแล้วแสดงอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์เมื่อได้รับผ้ากลับคืนมาแล้ว ต้องอธิษฐานใหม่ ฯ

๔. จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ? (๒๕๕๔) ๑. อติเรกจีวร ๒. จีวรกาล ๓. อนุปสัมบัน

     ตอบ : ๑. อติเรกจีวร หมายถึงจีวรที่ไม่ใช่จีวรอธิษฐาน
              ๒. จีวรกาล หมายถึงคราวที่เป็นฤดูถวายจีวร (คืออยู่จำพรรษาแล้วถ้าไม่ได้กรานกฐินนับแต่วันปวารณาไป ๑ เดือนถ้าได้กรานกฐินเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือนในฤดูหนาว)
              ๓. อนุปสัมบัน หมายถึงบุคคลที่มิใช่ภิกษุ ฯ

๕. ไตรจีวร มีอะไรบ้าง ? ภิกษุอยู่ปราสจากแม้คืนหนึ่ง ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: มี สังฆาฏิ คือผ้าคลุม อุตตราสงค์ คือผ้าห่ม และอันตรวาสก คือผ้านุ่ง ฯต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์

๖. ผ้าไตรครอง  มีอะไรบ้าง ? ต่างจากอติเรกจีวรอย่างไร ? (๒๕๕๒)
     ตอบ
: มี  สังฆาฏิ  อุตตราสงค์  อันตรวาสก ฯ   ต่างกันอย่างนี้  ผ้าไตรครองเป็นผ้าที่ภิกษุอธิษฐาน  มีจำนวนจำกัด คือ ๓ ผืน   ส่วนอติเรกจีวร คือผ้าที่นอกเหนือจากผ้าไตรครอง  มีได้ไม่จำกัดจำนวน ฯ

๗. คำว่า ปวารณากำหนดปัจจัย หมายความว่าอย่างไร ? (๒๕๕๑)
     ตอบ
: หมายความว่า ปวารณาที่กำหนดชนิดสิ่งของ เช่นจีวร หรือบิณฑบาตเป็นต้น หรือกำหนดจำนวนสิ่งของ เช่น ผ้ากี่ผืน บิณฑบาตมีราคาเท่าไร เป็นต้น ฯ

๘. ผ้าไตรจีวรคือผ้าอะไร ?  ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๔๘)
     ตอบ
: คือ ผ้า ๓ ผืนที่ทรงอนุญาตให้ภิกษุอธิษฐานไว้ใช้สำหรับตนเอง ฯ ได้แก่ สังฆาฏิ(ผ้าคลุม)  อุตตราสงค์ (ผ้าห่ม)  อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ฯ

๙. จีวรที่เป็นนิสสัคคีย์แล้ว ควรสละให้แก่ใคร ?  ถ้าจีวรนั้นสูญหาย พึงปฏิบัติเช่นไร ? (๒๕๔๗)
     ตอบ :
ควรสละให้แก่สงฆ์ก็ได้ แก่คณะก็ได้ แก่บุคคลก็ได้ ฯ  ถ้าจีวรนั้นสูญหาย พึงแสดงอาบัติเท่านั้น ฯ

กัณฑ์ที่ ๖  ปัตตวรรคที่ ๓

๑. มีผู้นำอาหารบิณฑบาตมาถวายแก่สงฆ์ ภิกษุแนะนำให้ถวายแก่ตนเองและได้มา เช่นนี้จะต้องอาบัติหรือไม่ ? ถ้าต้อง จะต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๕๖)
     ตอบ
: ต้องอาบัติ ฯ ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ฯ

๒. อติเรกจีวร อติเรกบาตร ได้แก่จีวรและบาตรเช่นไร? จีวรและบาตรชนิดนี้ ภิกษุเก็บไว้ได้กี่วัน? (๒๕๕๕)
     ตอบ
: ได้แก่ จีวรและบาตรนอกจากจีวรและบาตรที่อธิษฐานฯ เก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่งฯ

๓. เภสัช ๕ ได้แก่อะไรบ้าง ? ภิกษุรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้กี่วันเป็นอย่างยิ่ง ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
: ได้แก่ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯเก็บไว้ได้ ๗ วัน ฯ

๔. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์ มาเพื่อตน เพื่อบุคคลอื่นเพื่อเจดีย์ เพื่อสงฆ์หมู่อื่น จะเป็นอาบัติอะไรได้บ้าง ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: น้อมมาเพื่อตน เป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์น้อมมาเพื่อบุคคลอื่น เป็นอาบัติปาจิตตีย์น้อมมาเพื่อเจดีย์และเพื่อสงฆ์หมู่อื่น เป็นอาบัติทุกกฏ ฯ

๕. เภสัช ๕ ในปัตตวรรคที่ ๓ ได้แก่อะไรบ้าง ? รับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้กี่วัน ? (๒๕๕๑)
     ตอบ
: ได้แก่ เนยใน เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ฯ เก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน   เป็นอย่างยิ่ง ฯ

๖. อติเรกบาตร คืออะไร ?  ภิกษุเก็บไว้เกินกี่วัน ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ? (๒๕๔๘)
     ตอบ
: คือ บาตรนอกจากบาตรอธิษฐาน ฯ  เกิน ๑๐ วัน ฯ

๗. เภสัช ๕ ที่ภิกษุรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้ไม่เกิน ๗ วัน ได้แก่อะไรบ้าง ? (๒๕๔๘)
     ตอบ
: ได้แก่ เนยใส ๑  เนยข้น ๑  น้ำมัน ๑  น้ำผึ้ง ๑  น้ำอ้อย ๑ ฯ

๘. ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภสงฆ์ไปเพื่อตนก็ดี เพื่อบุคคลก็ดี เพื่อสงฆ์อื่นก็ดี ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๔๗)
     ตอบ
: น้อมลาภที่เขาจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เพื่อบุคคล ต้องปาจิตตีย์  เพื่อสงฆ์อื่น ต้องทุกกฏ ฯ

กัณฑ์ที่ ๗  มุสาวาทวรรคที่ ๑

๑. ภิกษุกำลังฟังพระปาฏิโมกข์อยู่ กล่าวขึ้นว่า “จะสวดไปทำไม ฟังก็ไม่รู้เรื่อง น่าเบื่อน่ารำคาญ”  เช่นนี้ต้องอาบัติอะไร ?  เพราะเหตุไร ? (๒๕๔๙)
     ตอบ
: ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ  เพราะก่อนสิกขาบท ฯ

กัณฑ์ที่ ๗  โภชนวรรคที่ ๔

๑. ภิกษุ ก อาพาธ ได้รับคำแนะนำให้ฉันอาหารในเวลาวิกาลเพื่อช่วยให้หายป่วยเร็ว แล้วฉันตามคำแนะนำนั้น มีวินิจฉัยตามพระวินัยอย่างไร ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: มีวินิจฉัยว่า ภิกษุ ก ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

๒. ภิกษุรับนิมนต์แล้ว จะไปที่อื่นก่อนหรือหลังฉัน ต้องปฏิบัติอย่างไร ?   ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๕๐)
     ตอบ :
ต้องปฏิบัติอย่างนี้ คือ ต้องบอกลาภิกษุอื่นก่อน ฯต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

กัณฑ์ที่ ๗  อเจลกวรรคที่ ๕

๑. ภิกษุขอปัจจัย ๔ ต่อผู้ที่ปวารณาไว้ มีพระพุทธานุญาตให้ปฏิบัติอย่างไร? (๒๕๕๕)
     ตอบ
: ให้ปฏิบัติดังนี้ ถ้าเขาปวารณาโดยมีกำหนดเวลา พึงขอได้เพียงกำหนดเวลานั้น แต่ถ้าเขาปวารณาโดยไม่ได้กำหนดเวลา พึงขอได้เพียง ๔ เดือนเท่านั้น เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก หรือปวารณาเป็นนิตย์ ฯ

๒. บุคคลที่เรียกว่า ปริพาชก และ ปริพาชิกา คือใคร ?  ภิกษุให้ของเคี้ยวก็ดี ของกิน ก็ดี แก่บุคคลเหล่านั้นอย่างไรเป็นอาบัติและอย่างไรไม่เป็นอาบัติ ? (๒๕๔๘)
     ตอบ
: ปริพาชก คือนักบวชผู้ชายนอกพระพุทธศาสนา  ปริพาชิกา คือนักบวชผู้หญิงนอกพระพุทธศาสนา ฯ  ให้ด้วยมือของตนต้องอาบัติปาจิตตีย์  สั่งให้ให้ก็ดีวางให้ก็ดี ไม่เป็นอาบัติ ฯ

กัณฑ์ที่ ๗  สัปปาณวรรคที่ ๗

๑. เมื่อภิกษุได้จีวรใหม่มา ก่อนที่จะนุ่งห่ม ต้องทำพินทุด้วยสี ๓ สี อย่างใด อย่างหนึ่ง คือสีอะไรบ้าง ? (๒๕๔๘) 
     ตอบ
: คือ  ๑. สีเขียวคราม 
                   ๒. สีโคลน 
                   ๓. สีดำคล้ำ ฯ

กัณฑ์ที่ ๗  รตนวรรคที่ ๙

๑. ภิกษุนำเก้าอี้ของสงฆ์ไปใช้ที่กลางแจ้งแล้ว เมื่อจะหลีกไป พึงปฏิบัติอย่างไร? ถ้าไม่ปฏิบัติเช่นนั้น ต้องอาบัติอะไร? (๒๕๕๕)
     ตอบ
: พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ เก็บเอง ใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือมอบหมายแก่ผู้อื่น ฯถ้าไม่ปฏิบัติเช่นนั้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

๒. ภิกษุเข้าบ้านโดยไม่ได้บอกลาภิกษุอื่นผู้มีอยู่ในอาวาส ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? จงอธิบาย (๒๕๕๕)
     ตอบ
: ถ้าเข้าบ้านในเวลาที่เป็นกาล ตั้งแต่เช้าถืงเวลาก่อนเที่ยงวัน ไม่ต้องอาบัติ ถ้าเข้าบ้านในเวลาวิกาล คือ ตั้งแต่หลังเที่ยงวันไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีกิจด่วน (หรือผู้อยู่ในนิสสัย)

๓. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังเดียวกันกับสามเณร จะเป็นอาบัติอะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: นอนได้ ๓ คืน ไม่เป็นอาบัติ เกินกว่านั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

๔. พระ ก. นำเบียร์มาให้พระ ข. ดื่ม  โดยหลอกว่าเป็นน้ำอัดลม  พระ ข. หลงเชื่อจึงดื่มเข้าไป ถามว่า พระ ก. และพระ ข. ต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๒)
     ตอบ
: พระ ก. เป็นอาบัติปาจิตตีย์เพราะพูดปด พระ ข. เป็นอาบัติปาจิตตีย์เพราะดื่มน้ำเมา   แม้ไม่รู้ก็ต้องอาบัติ เพราะสิกขาบทนี้เป็นอจิตตกะ ฯ

๕. ภิกษุนำตั่งของสงฆ์ไปตั้งใช้ในที่แจ้ง จะหลีกไปสู่วัดอื่นต้องทำอย่างไร จึงจะไม่เป็นอาบัติ ? (๒๕๕๒)
     ตอบ
: ต้องเก็บด้วยตนเอง  หรือใช้ให้ผู้อื่นเก็บ หรือมอบหมายให้ผู้อื่น  จึงจะไม่เป็นอาบัติ ฯ

๖. ลักษณะการประเคนประกอบด้วยองค์อะไรบ้าง ?   การช่วยกันยกโต๊ะอาหารขึ้นประเคนก็ดี  การจับผ้าปูโต๊ะประเคนก็ดี   ทั้ง ๒ วิธีนี้ถูกต้องหรือไม่ ?  เพราะเหตุไร ? (๒๕๕๒)
     ตอบ
: ประกอบด้วยองค์ต่อไปนี้
                ๑. ของที่จะพึงประเคนนั้นไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไป  พอคนปานกลาง  ยกได้คนเดียว
                ๒. ผู้ประเคนเข้ามาอยู่ในหัตถบาส
                ๓. เขาน้อมเข้ามา
                ๔. กิริยาที่น้อมเข้ามาให้นั้น ด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้ด้วยโยนให้ก็ได้
                ๕. ภิกษุรับด้วยกายก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกายก็ได้ ฯ ไม่ถูกทั้ง ๒ วิธี  เพราะไม่ต้องลักษณะองค์
                ประเคน  คือ การช่วยกัน ยกโต๊ะอาหารขึ้นประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๑  การจับผ้าปูโต๊ะประเคนผิดลักษณะองค์ที่ ๓ ฯ

๗. ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกับอนุปสัมบัน เป็นอาบัติหรือไม่อย่างไร ? (๒๕๕๑)
     ตอบ
: ถ้าเป็นผู้ชาย เกินกว่า ๓ คืน เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าเป็นผู้หญิง       แม้ในคืนแรก เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ฯ

๘. ภิกษุซ่อนผ้าอาบน้ำฝน บาตร จีวร กล่องเข็ม ด้าย ของเพื่อนภิกษุหรือสามเณรเพื่อล้อเล่น เป็นอาบัติอะไรบ้าง ? (๒๕๕๑)
     ตอบ
: ซ่อนผ้าอาบน้ำฝน ด้าย ของเพื่อนภิกษุ เป็นอาบัติทุกกฏ  ซ่อนบาตร จีวร กล่องเข้ม ของเพื่อนภิกษุ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ซ่อนของสามเณรทุกอย่างเป็นทุกกฏ ฯ

๙. ผ้าอาบน้ำฝนมีกำหนดขนาดไว้เท่าใด ?   ถ้าทำเกินกว่าขนาดนั้นต้องอาบัติ  ก่อนจะแสดงอาบัตินั้น ต้องทำอย่างไร ? (๒๕๕๐)
     ตอบ
: ยาว ๖ คืบ กว้าง ๒ คืบครึ่ง โดยคืบพระสุคต ฯ   ต้องตัดให้ได้ขนาดเสียก่อน ฯ

กัณฑ์ที่ ๘  ปาฏิเทสนียะ ๔

๑. เสขิยวัตร คืออะไร ? แบ่งเป็นกี่หมวด ? หมวดที่ ๒ ว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: คือ ธรรมเนียมหรือวัตรที่ภิกษุพึงศึกษา ฯแบ่งเป็น ๔ หมวด ฯว่าด้วยเรื่อง โภชนปฏิสังยุต คือธรรมเนียมว่าด้วยเรื่องการขบฉัน ฯ
               

กัณฑ์ที่ ๙  เสขิยวัตร ๗๕

๑.  เสขิยวัตร คืออะไร ? โภชนปฏิสังยุต ว่าด้วยเรื่องอะไร ? (๒๕๕๖)
     ตอบ
: คือ วัตรหรือธรรมเนียมที่ภิกษุจำต้องศึกษา ฯว่าด้วยเรื่องการรับและการฉันอาหาร ฯ

๒. ภิกษุไม่เอื้อเฟื้อในเสขิยวัตร ปฏิบัติผิดธรรมเนียมไป ต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๕๖)
     ตอบ :
ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

๓. ในเสขิยวัตรมีสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ภิกษุช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมโดยอนุโลมไว้อย่างไร? (๒๕๕๕)
     ตอบ
: ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุผู้ไม่เป็นไข้ ถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ และบ้วนน้ำลายลงในของเขียว และในน้ำ ฯ

๔. ภิกษุนั่งในบ้านพูดเสียงดังจะต้องอาบัติอะไร? (๒๕๕๕)
     ตอบ
: ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ

๕. ภิกษุฉันพลางทำกิจอื่นพลาง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
: ต้องอาบัติทุกกฎ ฯ

๖. ข้อว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ นั้นมีอธิบายอย่างไร ? (๒๕๕๓)
     ตอบ
: มีอธิบายว่า รับโดยแสดงความเอื้อเฟื้อ ในบุคคลผู้ให้ ไม่ดูหมิ่น และให้แสดงความเอื้อเฟื้อในของที่เขาให้ ไม่ทำดังรับเอามาเล่นหรือเอามาทิ้งเสีย ฯ

๗. เสขิยวัตร คืออะไร ? มีทั้งหมดกี่ข้อ ? (๒๕๕๐)
     ตอบ :
คือ ธรรมเนียมหรือวัตรที่ภิกษุต้องศึกษา ฯ มี ๗๕ ข้อ ฯ

๘. เสขิยวัตร คืออะไร ?  มีกี่ข้อ ?  ภิกษุละเมิดต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๔๙)
     ตอบ :
คือวัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษา ฯ    มี ๗๕ ข้อ ฯ     ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ             

๙.เสขิยวัตรคืออะไร ?  ถ้าไม่เอื้อเฟื้อต้องอาบัติอะไร ? (๒๕๔๘)
     ตอบ
: คือวัตรหรือธรรมเนียมที่ภิกษุจะต้องศึกษา ฯ  ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ

๑๐. ข้อว่า ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ นั้น มีอธิบายอย่างไร? (๒๕๔๗)
     ตอบ :
มีอธิบายว่า ภิกษุฉันบิณฑบาต แม้เป็นของเลว ก็ไม่แสดงอาการวิการ คือฉันโดยปกติ   และเมื่อฉัน ก็ไม่ฉันพลางทำกิจอื่นพลาง ฯ

กัณฑ์ที่ ๙  อธิกรณสมถะ

๑. ภิกษุเถียงกันด้วยเรื่องอะไร จึงเรียกว่า วิวาทาธิกรณ์ ? (๒๕๕๖)
     ตอบ
: เถียงกันด้วยเรื่อง สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ฯ

๒. อธิกรณ์ คืออะไร ? การตัดสินอธิกรณ์ตามเสียงข้างมาก เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๔)
     ตอบ
: คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ ฯเรียกว่าเยภุยยสิกา ฯ

๓. อธิกรณ์ คืออะไร ? เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร ? (๒๕๕๒)
     ตอบ
: คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วจะต้องจัดต้องทำ ฯ    ต้องระงับด้วยอธิกรณสมถะอย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรแก่อธิกรณ์นั้น ๆ ฯ  

๔. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ต่างกันอย่างไร ? (๒๕๕๑)
     ตอบ :
วิวาทาธิกรณ์ คือการเถียงว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ส่วนอนุวาทาธิกรณ์คือการโจทกันด้วยอาบัติ ฯ

๕. อธิกรณสมถะ คืออะไร ? มีกี่อย่าง ? การตัดสินตามเสียงข้างมาก  เรียกว่าอะไร ? (๒๕๕๑)
     ตอบ
: คือ ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ ฯ มี  อย่าง ฯเรียกว่า เยภุยยสิกา ฯ

กัณฑ์ที่ ๑๐  มาตรา

๑. ในพระวินัย กำหนด ๑ ปีมีกี่ฤดู ?  อะไรบ้าง ?  ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นฤดูอะไร ? (๒๕๔๘)
     ตอบ
: ๓ ฤดู คือ ฤดูหนาว ๑  ฤดูร้อน ๑  ฤดูฝน ๑ ฯ  ฤดูฝน ฯ

Leave a comment

You are commenting as guest.


48549793
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
16939
74766
16939
48264582
763549
1272582
48549793

Your IP: 27.55.76.168
2024-12-22 08:07
© Copyright pariyat.com 2024. by กองทะเบียนและสารสนเทศ

Search