ในกรณีที่สำนวนไทยมีข้อความซํ้ากันหรือมีข้อความสั้นๆ ห้วนๆไม่บ่งว่าเป็นวิภัตติอะไร ท่านมีวิธีเรียงศัพท์ใช้ศัพท์โดยเฉพาะ คือ ตัดคำที่ซํ้ากันออกเสีย เหลือไว้เฉพาะที่ไม่ซํ้ากัน ทั้งนี้ เพื่อความสละสลวยของภาษาซึ่งมีเช่นนี้ทุกภาษา เช่น ในภาษาไทยว่า
ถาม : คุณจะไปไหน
ตอบ : วัดครับ (คำเต็ม ไปวัด)
ถาม : ไปทำไมล่ะ
ตอบ : ธุระ ครับ (คำเต็ม ทำธุระ)
เพียงเท่านี้ก็เข้าใจความหมายกันได้แล้ว ลักษณะเช่นนี้ แม้ในภาษาบาลีท่านก็นิยมใช้ แต่เวลาแปลท่านมักจะแปลออกศัพท์ทั้งหมด เพื่อทดสอบภูมิของผู้ศึกษาดู หรือแปลห้วนๆไม่ออกสําเนียงอายตนิบาต ท่าให้นักศึกษางงได้เหมือนกัน ดังนั้น จึงควรศึกษาให้เข้าใจในความนิยม ของภาษาเช่นนี้ คือ
๕.๑ ข้อความจะต้องมีความบริบูรณ์ในประโยคใดประโยคหนึ่ง จะเป็นประโยคแรกหรือประโยคหลังก็ได้ แต่นิยมแต่งประโยคแรกสมบูรณ์ ส่วนประโยคหลังใส่เฉพาะคำไม่ซํ้ากับประโยคแรก
๕.๒ ถ้าข้อความทีไม่ซํ้านั้น มีเพียงคำเดียว ศัพท์เดียว จะ ใช้เพียงศัพท์เดียวเท่านั้น ไม่เป็นที่นิยมนัก จะต้องใส่ที่ซํ้าเข้ามาอีก ๑ ศัพท์ รวมเป็น ๒ เพราะประโยคบาลีนิยมศัพท์ ๒ ศัพท์ขึ้นไป ในแต่ละประโยค ที่มีเพียงศัพท์เดียวก็มีบ้าง แต่น้อยเต็มที
๕.๓ ในประโยคที่ไม่เต็มนั้น ศัพท์ที่ใช้ จะต้องประกอบรูปศัพท์ ให้ถูกต้อง คือ มีวิภัตติเช่นเดียวกับประโยคต้น โดยทำหน้าที่อย่างเดียว กับคำที่ตัวเองมาอยู่แทน
๕.๔ ศัพท์ที่จะไม่ใส่เข้าไปนั้น จะต้องเหมือนกับประโยคต้น หรือ ประโยคเต็ม ทั้งการประกอบศัพท์และความหมาย คือต้องเป็นศัพท์เดียว กันนั่นเอง
ความไทย |
: พระราชาาเสด็จไปยังสำนักพระบรมศาสดาในเวลาเย็น |
|
ทรงจำผ้ากำพลได้จึงทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า |
|
ใครทำบูชา เมื่อพระศาสดาตรัสตอบว่า |
|
นายเอกสาฎก....ฯ |
เป็น |
: ราชา สายณฺหสมเย สตฺถุ สนฺติกํ คนฺตฺวา กมฺพลํ |
|
สญฺชานิตฺวา ภนฺเต เกน ปูชา กตาติ ปุจฺฉิตฺวา |
|
เอกสาฏเกนาติ วุตฺเต ฯเปฯ |
ชี้แจง |
: ประโยคแรกมีเนื้อความเต็มสมบูรณ์ ประโยคหลัง |
|
ใช้ศัพท์เพียงศัพท์เดียว ประกอบเป็นตติยาวิภัตติ |
|
เพราะทำหน้าที่แทน เกน ในประโยคแรก |
|
ประโยคนี้จะแต่งเป็นว่า : เกน ปูชา กตาติ เอกสาฏโกติ ฯ ไม่ถูก |
หรือเป็น |
: โก ปูชํ กรีติ เอกสาฏเกนาติ ฯ ก็ไม่ถูกอีก |
หากจะเป็น |
: โก ปูชํ กรีติ เอกสาฏโกติ ฯ เป็นอันใช้ได้แล |
ความไทย |
: ท่านต้องการภิกษุกี่รูป ภิกษุทุกๆ รูป พระเจ้าข้า |
เป็น |
: กิตฺตเกหิ ปน ภิกฺขูหิ อตฺโถติ ฯ สพฺเพหิ ภิกฺขูหิ ภนฺเตติ ฯ (๕/๑๖) |
ไม่ใช่ |
: กิตฺตเกหิ ปน เต ภิกฺขูหิ อตฺโถติ ฯ สพฺเพ ภิกฺขู ภนฺเตติ |
ความไทย |
: ก็อันภิกษุผู้เมื่อจะให้ผลไม้ก็ดี ดอกไม้ก็ดี อันเป็น |
|
สิ่งมีอยู่ของตน แก่พ่อแม่ นำไปให้เองก็ดี ให้ผู้อื่น |
|
นำไปให้ก็ดี เชิญมาให้เองก็ดี ให้ผู้อื่นเชิญมาให้ก็ดี |
|
ย่อมควร เมื่อจะให้แก่พวกญาติที่เหลือ ให้ผู้อื่น |
|
เชิญมาให้ อย่างเดียวจึงควร ฯ |
|
(สนามหลวง ป.ธ.๗ ๒๕๑๓, ๒๕๒๗) |
เป็น |
: มาตาปิตูนํ ปน อตฺตโน ลนฺตกํ ผลํปิ เทนฺเตน |
|
หริตฺวาปิ หราเปตฺวาปิ ปกฺโกสิตฺวา |
|
ปกฺโกสาเปตฺวาปิ ทาตุํ วฏฺฏติ |
|
เสสญฺญาตกานํ ปกฺโกสาเปตฺวา ว ฯ |
หรือเป็น |
: เสสญฺญาตกานํ เทนฺเตน ปกฺโกสาเปตฺวา ว ทาตุํ วฏฺฏติ ฯ ก็ได้ |
|
แต่ดูรุงรังและซํ้าซาก ไม่สละสลวย |
ความไทย |
: พระวินัยธรแสดงว่า แม้ลักษณะของอุปจารบ้าน |
|
ก็คือร่วมในสถานที่ตกของก้อนดิน ที่ถูกขว้างไป |
|
เหมือนอย่างพวกเด็กหนุ่ม เมื่อจะทดลองกำลัง |
|
ของตนจึงเหยียดแขน (เต็มที่) ขว้างก้อนดินไป |
|
ฉะนั้น ส่วนพระสุตตันติกะทั้งหลาย กล่าวว่า ก้อนดิน |
|
ที่ขว้างไปโดยทำนองไล่กา ฯ |
เป็น |
: ตสฺส ลกฺขณมฺปิ ยถา ตรุณมนุสฺสา อตฺตโน พลํ |
|
ทสฺเสนฺตา พาหุํ ปสาเรตฺวา เสณฺฑุํ ขิปนฺติ เอวํ |
|
ขิตฺตสฺส เลณฺฑุสฺส ปตนฏฺฐานพฺภนฺตรนฺติ วินยธรา ฯ |
|
สุตฺตนฺติกา ปน กากวารณนิยเมน ขิตฺตสฺสาติ วทนฺติ ฯ |
|
(วิสุทฺธิ ๑/๘๙) |
ไมใช่ |
: กากวารณนิยเมน ขิตฺโต เลณฺฑูติ ฯ (ไม่ถูก) |
หรือเป็น |
: การวารณนิยเมน ขิตฺตํ เลณฺฑูนฺติ ฯ (ไม่ถูก) |
|
ทั้งนี้ เพราะประโยคหลังท่านละคำว่า เลณฺฑุสฺส |
|
ปตนฏฺฐานพฺภนฺตรํ ไว้นั่นเอง |
ขอให้ดูประโยคต่อไปนี้ เป็นต้วอย่างเปรียบเทียบ
- อิธ ภิกฺขุ อนฺตรฆรํ ปวิฏฺโฐ วีถึ ปฏิปนฺโน โอกฺขิตฺตจกฺขุ ยุคมตฺตทสฺสาวี สํวุโต คจฺฉติ, น หตฺถึ โอโลเกนฺโต, น อสฺสํ, น รถํ, น ปตฺตึ, น อิตฺถึ, น ปุริสํ โอโลเกนฺโต, น อุทฺธํ โอโลเกนฺโต, น อโธ โอโลเกนฺโต, น ทิสาวิทิสมฺปิ เปกฺขมาโน คจฺฉติ (วิสุทฺธิ ๑/๒๓)
ชี้แจง : ประโยคแรกความเต็ม ประโยคต่อมาตัดกิริยาออก ประโยคต่อมาตัดกิริยาทั้งหมดออก จนประโยคสุดท้ายใส่ โอโลเกนฺโต เข้ามา (ปุริสํ โอโลเกนฺโต) เพื่อคุมความไว้ทีหนึ่งก่อน ประโยคต่อไป อุทฺธํ โอโลเกนฺโต อโธ โอโลเกนฺโต ทิสาวิทิสมฺปิ เปกฺขมาโน ตัด โอโลเกนฺโต เปกฺขมาโน ออก ไม่ได้ เพราะเป็นศัพท์แปลควบ คือ ก้ม แหงน และเหลียว ประโยคท้ายสุดท่านใส่กิริยาคุมพากย์ได้อีกทีหนึ่ง เป็นความนิยมทางภาษาในประโยคที่ละไว้หลายๆ ประโยค ประโยคสุดท้ายใส่ความควบคุมไว้
-อริยุปวาทา อุปวาทนฺตรายิกา นาม ฯ เต ปน ยาว อริเย น ขมาเปนฺติ, ตาวเทว น ตโต ปรํ ฯ (มงฺคล ๑/๑๖๙)
ชี้แจง : ประโยคนี้ท่านละคำไว้มาก ใส่เฉพาะที่ไม่ซํ้ากันเท่านั้น ความเต็มก็คือ อริยุปวาทา อุปวาทนฺตรายิกา นาม ฯ เต ปน (อริยุปวาทา) ยาว อริเย น ขมาเปนฺติ, ตาวเทว (อุปวาทนฺตรายิกา นาม) น ตโต ปรํ (อุปวาทนฺตรายิกา นาม)
-ยถา ปน อินฺทฺริยสํวโร สติยา, ตถา วิริเยน อาชีวปาริสุทฺธิ สมฺปาเทตพฺพา ฯ (วิสุทฺธิ ๑/๔๙)
ชี้แจง : ประโยคแรกละ สมฺปาเทตพฺพา ไว้ นำมาใส่เต็มในประโยคหลัง
-ตตฺถ อปริคฺคหิตธุตงฺคสฺส สงฺฆโต วา คณโต วา ธมฺมเทสนาทีหิ จสฺส คุเณหิ ปสนฺนานํ คิหีนํ สนฺติกา อุปฺปนฺนา ปจฺจยา ปริสทฺธุปฺปาทา นาม, ปิณฺฑปาตจริยาทีหิ ปน อติปริสุทฺธุปฺปาทาเยว ฯ
ชี้แจง : ประโยคหลังละคำว่า อุปฺปนฺนา ปจฺจยา ไว้
ในการประกอบรูปประโยคบาลีอันเกี่ยวด้วยการอธิบายขยายความนั้น มีนัยวิจิตรพิสดารหลายหลากนัก ทั้งลีลาในปกรณ์ทั้งหลาย ก็แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ เพราะผู้แต่งปกรณ์นั้นๆ ต่างก็มีลีลาและแนววิธีการเขียนเป็นแบบของตนโดยเฉพาะ ทั้งแต่งในวาระในสมัยห่างกัน เป็นร้อยๆ ปี ความนิยมทางภาษาย่อมเปลี่ยนแปลงผันแปรไปตามยุค ตามสมัย อันเป็นกฎธรรมดาของภาษาทั่วไป
ถึงกระนั้นก็ตาม ภาษาบาลีที่เราใช้เรียนใช้สอนกันส่วนมากก็เป็นไปตามแนวของลังกาที่มายุคหลัง เช่น ในสมัยเมืองเชียงใหม่รุ่งเรือง ก็มีหนังสือมงคลทีปนี เป็นหลักยืน แม้จะมีแนวแปลกไปบ้าง ก็พอศึกษา แนวทางของท่านได้ แนวทางของแต่ละคนที่แต่งปกรณ์ทั้งหลายมีปรากฏ ในปกรณ์นั้นๆ แล้ว ขอนักศึกษาได้สังเกตจดจำ และนำมาเปรียบเทียบกันดูเถิด ย่อมเกิดปัญญา และความรู้ความเข้าใจได้ไม่น้อยเลย
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙,ราชบัณฑิต). คู่มือ วิชาแปลไทยเป็นมคธ ป.ธ.๔-๙ วิชาแต่งไทยเป็นมคธ ป.ธ.๙. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : บริษัท ฟองทองเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด, ๒๕๔๔.
ที่อยู่ : 23/2 หมู่ 7 โรงเรียนพระปริยัติธรรม
วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
dummy 02-831-1000 ต่อ 13710