อ้างอิงจากหลักการแปลไทยเป็นมคธสำหรับชั้นป.ธ.๔-๕ โดยพระธรรมกิตติวงศ์(ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙)
๑ วิธีเรียงปฐมาวิภัตติ
๒ วิธีเรียงทุติยาวิภัตติ
๓ วิธีเรียงตติยาวิภัตติ
๔ วิธีเรียงจตุตถีวิภัตติ
๕ วิธีเรียงปัญจมีวิภัตติ
๖ วิธีเรียงฉัฏฐีวิภัตติ
๗ วิธีเรียงสัตตมีวิภัตติ
๘ วิธีเรียงอาลปนะ
๙ วิธีเรียงวิเสสนะ
๑๐ วิธีเรียงวิกติกัตตา
๑๑ วิธีเรียงกิริยา
๑๒ วิธีเรียงกิริยาปธานนัย
๑๓ วิธีเรียงกิริยาวิเสสนะ
๑๔ วิธีเรียงประโยค สักกา
๑๕ วิธีเรียงประโยคอนาทร
๑๖ วิธีเรียงประโยคลักขณะ
๑๗ วิธีเรียงนิบาต
๑๘ วิธีเรียงปัจจัยในอัพยยศัพท์
๑ ในประโยคกัตตุ/เหตุกัตตุวาจก ให้เรียงไว้ต้นประโยค
๒ ในประโยคกัมม/เหตุกัมมวาจก ให้เรียงไว้หลังอนภิหิตกัตตา ( ถ้ามีตัวอนภิหิตกัตตา )
๓ ถ้ามีนิบาตต้นข้อความ/กาลสัตตมี/ศัพท์ขยายกิริยาบางศัพท์/บทขยายประธาน ให้เรียงไว้หลังบทนิบาตเป็นต้นเหล่านั้น
๑ เรียงไว้หน้ากิริยาที่ตนขยายและสัมพันธ์เข้าด้วย
๒ ถ้าบททุติยาวิภัตติมาร่วมกันหลายบทมีหลักการเรียงดังนี้
ซึ่ง - สู่ ยัง - ซึ่ง
สิ้น ,ตลอด - ซึ่ง ซึ่ง - ให้เป็น,ว่าเป็น กะ,เฉพาะ - ซึ่ง
๑ มาโดดๆ ขยายบทใดเรียงไว้หน้าบทนั้น
๒ มาคู่กับทุติยาวิภัตติให้เรียงไว้หน้าทุติยาวิภัตติ
๓ ขยาย กึ และ อลํ ให้เรียงไว้หลัง และไม่ต้องมีกิริยาคุมพากย์
๔ เข้ากับ ปูรฺ ธาตุ นิยมเรียงเป็นรูปฉัฏฐีวิภัตติ
๕ อนภิตกัตตา นิยมเรียงไว้หน้าประธานมากกว่าเรียงไว้หลัง
๖ อิตฺถมฺภูตนาม เรียงไว้หลังตัวประธาน อิตฺถมฺภูตกิริยา เรียงไว้หน้าหรือหลังอิตฺถมฺภูตนามก็ได้
๗ สหตฺถตติยา เรียงไว้หน้า สทฺธึ แต่เรียงไว้หลัง สห
๑ ขยายบทใดเรียงไว้หน้าบทนั้น
๒ ถ้ามาคู่กับทุติยาวิภัตติ/สัตตมีวิภัตติ มีหลักการดังนี้
แก่ - ซึ่ง สู่ - เพื่อ ใน - เพื่อ
๑ ขยายบทใดให้เรียงไว้หน้าบทนั้น
๒ มาร่วมกับบททุติยาวิภัตติ เรียงไว้หน้าหรือหลังก็ได้
๓ เรียงไว้หลังนิบาตเหล่านั้นยาว วินา อญฺญตรและอาราเรียงไว้หน้านิบาตเหล่านี้ อุทฺธํ นานา ปฏฺฐาย
๔ เรียง ยสฺมา ตสฺมา กสฺมา กึการณา ไว้ต้นประโยคแต่ กสฺมา ให้เรียงไว้หลัง อถ เป็น อถกสฺมา ..
๑ ขยายบทใดให้เรียงไว้หน้าบทนั้น
๒ โว โน เนสํ ที่ใช้เป็นนิทธารณะ ถ้ามีบทอื่นนำหน้าอยู่แล้วเรียงปกติธรรมดาถ้าไม่มีให้เรียงไว้หลัง นิทธารณียะ
๑ ขยายบทใดให้เรียงไว้หน้าบทนั้น
๒ มาร่วมกับบทอวุตฺตกมฺม เรียงไว้หน้า
๓ กาลสัตตมีที่บอกกาลใหญ่ครอบทั้งประโยคและมาจากอัพยยศัพท์ให้เรียงไว้ต้นประโยค
๔ กาลใหญ่ ให้เรียงไว้หน้ากาลย่อยตามลำดับ ( สมัย - ปี - เดือน - วัน - เวลา )
๕ วิสยาธาร บ่งที่อยู่แคบๆ วางไว้หน้าบทที่ตนขยาย บ่งที่อยู่กว้างๆ คลุมทั้งประโยค วางไว้ต้นประโยค
( อยู่ในประโยคเลขในเท่านั้น )
๑ เป็นประโยคบอกเล่าเรียงไว้ต้นประโยค
๒ เป็นประโยคแสดงความประสงค์ หรือประโยคคำถาม หรือต้องการเน้นข้อความนิยมเรียงไว้สุดประโยค
๓ อาลปนนิบาต มาคู่ อาลปนนาม เรียงอาลปนนิบาตไว้หน้า
( ปรุงศัพท์ให้มีลิงค์ วจนะ วิภัตติเหมือนกับบทที่ตนขยาย )
๑ สามัญวิเสสนะ ( คุณนาม/สัพพนาม/ศัพท์ที่ปรุงมาจาก ต อนฺต มาน ปัจจัย )ให้เรียงไว้หน้า บทที่ตนขยาย
๒ วิสามัญวิเสสนะ ( เป็นวิเสสนะแสดง ยศ ตำแหน่ง ตระกูล หรือความพิเศษที่ไม่ทั่วไป ) ให้เรียงไว้หลัง บทที่ตนขยาย
๓ ถ้านามตัวที่ตนขยายมีหลายศัพท์ ให้ประกอบวิเสสนะมีลิงค์ วจนะ วิภัตติ เหมือนกับนามตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด
๔ ถ้านามที่จะขยายมีหลายศัพท์ และประกอบด้วย จ หรือ ปิ ศัพท์ ให้ประกอบศัพท์ วิเสสนะเป็นพหูพจน์เสมอ
๕ ถ้าในประโยคนั้น มีวิเสสนะหลายศัพท์ ให้เรียงลำดับก่อนหลัง ดังนี้ อนิยม - นิยม - คุณนาม - สังขยา - นาม
๖ วิเสสนะที่ประกอบด้วย ต อนฺต มาน ปัจจัย ในวิภัตติต่างๆ เว้นปฐมาวิภัตติ จะเรียงไว้หน้า หรือหลัง บทที่ตนขยายก็ได้ แต่นิยมเรียงไว้หลัง พร้อมกับข้อความที่สัมพันธ์เข้ากับตนทั้งหมด
๗ วิเสสนะที่ประกอบด้วย อนฺต มาน ปัจจัย ที่ทำหน้าที่ขยายบทประธาน
ในประโยคกัตตุวาจก นิยมเรียงไว้หน้าบทประธาน
ในประโยคกัมมวาจก นิยมเรียงไว้หลังบทประธาน
( สัมพันธ์เข้ากับกิริยาที่มาจาก ภู หุอฺส ชา ธาตุ )
๑ วิกติกตฺตานาม คงลิงค์ วจนะ ของตนไว้
๒ วิกติกตฺตาคุณนามแท้ ต้องเปลี่ยน ลิงค์ วจนะ วิภัตติ ไปตามรูปนามเจ้าของ
๓ วิกติกตฺตาที่มาจากกิริยากิตก์ มีคติเหมือนคุณนาม ต้องเปลี่ยนรูปไปตามนามเจ้าของ
๔ วิกติกตฺตา มีบทเดียว เรียงไว้หลังประธาน หน้ากิริยาที่ตนสัมพันธ์เข้าด้วย
๕ วิกติกตฺตา ที่มาร่วมกันตั้งแต่ ๒ ตัวขึ้นไป มีนามเจ้าของบทเดียวกัน นิยมเรียงไว้หน้ากิริยาเพียงตัวเดียว นอกนั้นเรียงไว้หลังกิริยา
๖ วิกติกตฺตา ที่มีบทประธานเป็นเอกวจนะหลายๆบท และควบด้วย จ หรือ ปิ ศัพท์ นิยมประกอบเป็นพหุวจนะ รวมทั้งกิริยาด้วย
๗ วิกติกตฺตา ที่เป็นอุปมา นิยมใช้กับ วิย ศัพท์ ไม่นิยมใช้กับ อิว ศัพท์
๘ วิกติกตฺตา ในประโยคกัมมวาจกและภาววาจก มีรูปเดิมเป็นตติยาวิภัตติเท่านั้น
๙ วิกติกตฺตา ตามปกติจะพบในรูปปฐมาวิภัตติ แต่ที่มาในรูปวิภัตติอื่นก็มี
ก อนุกิริยา (ต อนฺต มาน และ ตูนาทิปัจจัย)
ข มุขยกิริยา (กิริยาอาขยาตทั้งหมด และตอนียตพฺพ )
ก อนุกิริยา
๑ เรียงไว้หลังประธาน ในประโยคธรรมดา โดยเรียงเป็นลำดับเรื่อยไป
๒ เรียงไว้หน้าประธาน โดยมากก็คือศัพท์ที่ประกอบด้วย ตฺวา ปัจจัย ที่แปลว่า เพราะ / เว้น / ครั้นแล้ว ( เช่น สุตฺวา ทิสฺวา ฐเปตฺวา กตฺวา นิสฺสาย) และ ศัพที่ประกอบด้วยต อนฺต มาน ปัจจัย
๓ เรียงไว้หลังกิริยาใหญ่ ในกรณีอนุกิริยาทำหน้าที่พร้อมกิริยาใหญ่ หรือเป็นกิริยาอปรกาลแต่เป็นกิริยารองไปจากกิริยาใหญ่ ซึ่งถืออิริยาบถใหญ่เป็นประมาณ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน
๔ เรียงไว้หน้ากิริยาใหญ่ กรณีใช้แทนปุริสสัพพนามคือทำหน้าที่คล้ายประธานในประโยคเพราะไม่เรียงประธานไว้ด้วย อนุกิริยา เช่นนี้ มักมีศัพท์ว่า นาม กำกับด้วย
ข มุขยกิริยา
๑ เรียงไว้ท้ายประโยค ในประโยคธรรมดาทั่วๆไป
๒ เรียงไว้ต้นประโยค ในกรณีพิเศษดังต่อไปนี้ ประโยคคำถาม / ประโยคบังคับ/ประโยคอ้อนวอน / ประโยคตักเตือน-ชักชวน / ประโยคสงสัยเชิงถาม / ประโยคห้ามหรือคัดค้าน / ประโยคปลอบใจ / ประโยคให้พร / ประโยคเน้นความ / ประโยคแสดงความมั่นใจ
(กิริยาที่ประกอบด้วยตูนาทิปัจจัยโดยมากเป็น ตฺวา ปัจจัย ทำหน้าที่เป็นกิริยาคุมพากย์ในประโยค )
๑ ประธานเป็นพหุวจนะ + กิริยา ตฺวา ปัจจัย + ประธานเอกวจนะ + กิริยาคุมพากย์เอกวจนะ + ประธานเอกวจนะ + กิริยาคุมพากย์เอกวจนะ
๒ ประธานเป็นพหุวจนะ + อนุกิริยา + ประธานเอกวจนะ + กิริยา ตฺวา ปัจจัย + ประธานเอกวจนะ + กิริยา ตฺวา ปัจจัย + กิริยาคุมพากย์พหุวจนะ
๓ ประธานพหุวจนะ + กิริยาคุมพากย์พหุวจนะ + ประธานเอกวจนะ + กิริยา ตฺวา ปัจจัย + ประธานเอกวจนะ + กิริยา ตฺวา ปัจจัย
( มีรูปเป็นทุติยาวิภัตติ เอกวจนะเท่านั้น แต่ถ้าเป็นอัพยยศัพท์ ให้คงรูปเดิมไว้ )
๑ กิริยาวิเสสนะ ของกิริยาที่เป็นอกัมมธาตุ คือกิริยาที่ไม่มีบทอวุตฺตกมฺมอยู่ด้วยให้เรียงไว้หน้า ชิดกิริยา
๒ กิริยาวิเสสนะ ของกิริยาที่เป็นสกัมมธาตุ มีบทอวุตฺตกมฺม อยู่ด้วยจะเรียงไว้หน้าหรือหลังบทอวุตฺตกมฺม ก็ได้
๓ กิริยาวิเสสนะ ที่คลุมตลอดทั้งประโยค นิยมเรียงไว้ต้นประโยค
( เป็นได้ทั้งกัมมวาจก และภาววาจก มักมี ตุํ ปัจจัย รวมอยู่ในประโยคด้วย )
๑ เรียง สกฺกา ไว้หน้า ตุํ ปัจจัย ( นิยมมากที่สุด )๒ เรียง สกฺกา ไว้หลัง ตุํ ปัจจัย
๓ บทอนภิหิตกตฺตา นิยมเรียงไว้หน้า ตุํ ปัจจัย
๔ บทประธาน ในประโยคกัมมวาจก นิยมเรียงไว้หน้า สกฺกา
๕ สกฺกา ถ้ามีกิริยาว่ามีว่าเป็น คุมพากย์อยู่ก็ทำหน้าที่เป็น วิกติกตฺตา เข้ากับกิริยานั้น
๖ สกฺกา ทำหน้าที่เป็นประธานในประโยคได้บ้าง
( นามกับกิริยา มีรูปเป็น ฉัฏฐีวิภัตติ แปล่ว่าเมื่อ )
๑ มุ่งจะกล่าวถึงเนื้อความตอนต้นกับตอนปลายให้สัมพันธ์กันโดยไม่ขาดตอน นิยมเรียงไว้ต้นประโยค หน้าประธาน
๒ ถ้าเป็นเนื้อความแทรกเข้ามาลอยๆ แทรกเข้ามาตอนไหน ให้เรียงไว้ตอนนั้น
( นามกับกิริยา มีรูปเป็นสัตตมีวิภัตติ แปลว่าครั้นเมื่อ )
๑ มุ่งจะกล่าวถึงเนื้อความตอนต้นกับตอนปลายให้สัมพันธ์กันโดยไม่ขาดตอน นิยมเรียงไว้ต้นประโยค หน้าประธาน
๒ ถ้าเป็นเนื้อความแทรกเข้ามาลอยๆ แทรกเข้ามาตอนไหน ให้เรียงไว้ตอนนั้น
(แยกออกเป็น ๒ พวกใหญ่ๆ)
๑ นิบาตที่เรียงไว้ต้นประโยคได้ ได้แก่ นิบาตพวก สเจยทินนุอโห ยาว ตาว ยถาเอวํหนฺทอถอถโข อถวา อปฺเปวนามเสยฺยถากิญฺจาปิ เป็นต้น
๒ นิบาตที่เรียงไว้ต้นประโยคไม่ได้ ได้แก่นิบาตพวก หิ จ ปน กิรขลุสุทํ นุ เจ โข ว วา ปิ ตุ เป็นต้น
( จะเรียงไว้ต้นประโยคไม่ได้เด็ดขาด ถือเป็นความผิดร้ายแรง ส่วนมากก็เรียงไว้เป็นตัวที่ ๒ )
การเรียงนิบาต มีข้อควรสังเกตุและระวังไม่ให้ผิดความนิยม คือ
๑ ปิ อปิ ว เอว อิว เหล่านี้ ให้เขียนติดกับบทที่ตนกำกับอยู่ และถ้าสนธิได้ ก็นิยมสนธิ
๒ หิ จ ปน เมื่อวางไว้หลังบทหน้า ที่ซึ่งลงท้ายด้วย อํ ( นิคคหิต ) นิยมสนธิกับบทนั้น ไม่นิยมเรียงไว้โดดๆ
๑ เมื่อปฏิเสธกิริยาอาขยาต ให้คงรูปไว้ ไม่นิยมแปลงเป็น อ หรือ อน ถ้าแปลงถือว่า เป็นผิดร้ายแรง
๒ เมื่อปฏิเสธกับกิริยา ตูนาทิปัจจัย เช่น ตฺวา ปัจจัย เป็นต้น และปฏิเสธ อนฺต มาน ปัจจัย นิยมแปลงเป็น อ หรือเป็น อน
๓ เมื่อปฏิเสธกิริยากิตก์ ที่คุมพากย์ได้ คือ อนียตพฺพ ต ปัจจัย จะแปลงหรือคงไว้ก็ได้
๔ เมื่อปฏิเสธศัพท์นาม หรือ ศัพท์คุณนิยมแปลงเป็น อ หรือ อน
๕ เมื่อปฏิเสธกิริยาตัวใด ให้เรียงไว้หน้ากิริยาตัวนั้น
๖ เมื่อปฏิเสธทั้งประโยค นิยมเรียงไว้ต้นประโยค
๗ เมื่อปฏิเสธกิริยาตั้งแต่ ๒ ตัว ขึ้นไป น ตัวแรก นิยมสนธิกับ เอว ศัพท์ เป็น เนว
๘ เมื่อมาคู่กับกิริยาอาขยาต ที่ขึ้นต้นด้วย สระ หรือที่มีอักษร อ นำหน้า เช่น อกาสิ อโหสิอาคจฺฉติ เป็นต้น นิยมสนธิกับกิริยานั้นเลย หรือ เมื่อมาคู่กับกิริยากิตก์ ที่ขึ้นต้นด้วยสระ หากไม่แปลงเป็น อน ก็นิยมสนธิเข้าด้วยกัน
๑ เมื่อควบบท นิยมเรียงไว้หลังบทที่ควบทุกตัวไป หรือจะเรียงไว้เฉพาะบทสุดท้ายก็ได้
๒ เมื่อควบบทที่เป็นประธานเอกพจน์หลายบท ในประโยค ชึ่งมี กิริยาคุมพากย์ กิริยาระหว่างและวิกติกตฺตา ร่วมกัน มีอำนาจให้กิริยาเหล่านั้น และวิกติกัตตานั้น เป็นพหูพจน์ได้ ( แต่ในกรณีอย่างนี้ ถ้าใช้กิริยากิตก์ เป็นกิริยาคุมพากย์ นิยมคงรูปกิริยานั้น เป็นเอกพจน์ และให้ลิงค์อนุวัตรตามบทประธานที่อยู่ใกล้ชิดกิริยาที่สุด )
๓ เมื่อควบบทที่มีบทขยายหลายๆศัพท์ก็ดี ควบพากย์ก็ดี มีวิธีเรียงได้หลายแบบ ดังนี้
ก เรียงไว้เป็นตัวที่ ๒ ของทุกตอนไป
ข เรียงไว้เป็นตัวที่ ๒ เฉพาะในตอนสุดท้าย
ค เรียงไว้ท้ายสุด ของทุกตอน
ง เรียงไว้ท้ายสุดของตอนต้น และเป็นที่ ๒ ของตอนสุดท้าย
( การนับศัพท์ในประโยค ให้กันตัวประธานออกนอกวงเสียก่อน )
๔ เมื่อมี จ ศัพท์ ควบหลายตัว จ ศัพท์ตัวแรกนิยมสนธิกับ เอว เป็น เจว เหมือน น ศัพท์
๕ เมื่อ จ ศัพท์ มีหน้าที่ควบตัวประธานที่เป็นเอกพจน์ตั้งแต่ ๒ ขึ้นไป นิยมประกอบกิริยาเป็น พหูพจน์
๖ เมื่อ จ ศัพท์ ควบกับศัพท์ที่ลงท้ายด้วย อํ ( นิคคหิต ) นิยมสนธิกับศัพท์นั้น
๑ เมื่อควบบทหรือควบพากย์ นิยมเรียงเหมือน จ ศัพท์ เป็นพื้น คือ เมื่อควบศัพท์ไหนให้เรียงไว้หลังศัพท์นั้น และให้เรียงไว้เป็นตัวที่ ๒ ของทุกตอน เหมือน จ ศัพท์
๒ เมื่อ วา ศัพท์ ควบตัวประธานที่เป็นเอกพจน์ ตั้งแต่ ๒ ศัพท์ขึ้นไป ไม่ต้องเปลี่ยนกิริยาเป็นพหูพจน์เหมือน จ ศัพท์
( เหมือน จ ศัพท์ หรือ วา ศัพท์ และใช้แทนศัพท์ทั้งสองนั้นได้ )
๑ เมื่อแปลกับศัพท์ไหน ให้เรียงไว้หลังศัพท์นั้น
๒ ถ้าแปลว่า ทั้ง , ด้วย , ก็ดี มีคติเหมือน จ ศัพท์ และให้เรียงกิริยาเป็นพหูพจน์
๓ ถ้าแปลว่า บ้าง มีคติเหมือน วา ศัพท์ และไม่ต้องเปลี่ยนกิริยาเป็นพหูพจน์
๑ ศัพท์ที่ทำหน้าที่ขยาย สทฺธึ เรียงไว้หน้า
๒ ศัพท์ที่ทำหน้าที่ขยาย สห ให้เรียงไว้หลัง
๓ ศัพท์ที่นิยมใช้กับ สทฺธึ ต้องเป็นศัพท์รูปธรรม ( เป็นสิ่งมีชีวิต มีรูปร่างปรากฏ )
ศัพท์ที่นิยมใช้กับ สห ต้องเป็นศัพท์นามธรรม ( เป็นสิ่งไม่มีชีวิติ ไม่มีรูปร่างปรากฏ )
๑ ศัพท์ที่ขยาย ปฏฺฐาย นิยมเรียงไว้หน้า ปฏฺฐาย และประกอบด้วย โต ปัจจัย
๒ ศัพท์ที่ขยาย ยาว นิยมเรียงไว้หลัง ยาว และนิยมมีรูปเป็น ปัญจมีวิภัตติ ที่ลงท้ายด้วย อา
๓ ถ้า ปฏฺฐาย กับ ยาว มาคู่กัน ในประโยคเดียวกัน และมีบทขยายด้วยกันทั้งคู่แปลเป็นสำนวนไทยว่า ตั้งแต่ , จนถึง , จำเดิมแต่... จนกระทั่งถึง นิยมเรียง ท่อน ปฏฺฐาย ไว้ข้างหน้า เรียงท่อน ยาว ไว้ข้างหลัง ส่วนบทขยาย ก็เรียง ตามวิธีดังกล่าวข้างต้น
๔ ยาว ที่มาคู่กับ ตาว เป็น ยาว - ตาว ทำหน้าที่เชื่อมประโยคแปลว่า จน , จนกว่า , จนถึง , ตราบเท่าที่ , จนกระทั่ง , ตลอดเวลาที่ ให้เรียงอย่างปกติ คือเรียง ยาว ตาว ไว้ต้นประโยค จะเรียงประโยค ยาว ไว้ต้น หรือ หลังก็ได้ แล้วแต่ความ
( แปลว่า ว่า , คือ , ด้วยประการฉะนี้ )
๑ ที่แปลว่า ด้วยประการฉะนี้ , ด้วยอาการอย่างนี้ ให้เรียงไว้ต้นประโยค
๒ ที่แปลว่า คือ เป็นไปตามสำนวนไทย ใช้ในกรณีที่มีเลขนอกเลขในโดยเลขนอกบอกจำนวนเต็มไว้ ส่วนเลขในภายในอิติ บอกจำนวนย่อยไว้
๓ ที่แปลว่า ว่า มีวิธีเรียงดังนี้
ก ประโยคเลขในหรือประโยคคำพูด เมื่อเรียงจบประโยคข้อความแล้ว ต้องใส่ อิติ คุมท้ายประโยคทุกครั้ง ถ้าไม่มีถือว่าผิด
ข ถ้าขยายนามเช่น อตฺโถ ให้เรียง อตฺโถ ไว้หลัง
ค ถ้าขยาย อนุกิริยา หรือ กิริยาในระหว่าง ( อนฺต มาน ตฺวา ปัจจัย ) ต้องเรียง กิริยาเหล่านั้น ไว้หลัง อิติ ทั้งหมด จะเรียงไว้หน้าไม่ได้เด็ดขาด
ง ถ้าขยาย กิริยาคุมพากย์ จะเรียงกิริยานั้น ไว้หน้าหรือหลัง อิติ ก็ได้ แต่มีข้อสังเกตุอยู่ว่า ในประโยคที่มีข้อความเลขในสั้นๆ นิยมเรียงกิริยาไว้หลัง ในประโยคที่มีข้อความเลขในยาวๆ นิยมเรียงกิริยาไว้ข้างหน้า อิติ
ปัจจัย ในอัพยยศัพท์ คือ โต ตฺรตฺถ ห ธ ธิ หึ หํหิญฺจนํ ว ที่ใช้ประกอบกับ นามนามบ้าง สรรพนามบ้าง ได้รูปเป็น ตโต กุโต เป็นต้น เมื่อเรียงเข้าประโยค นิยมใช้โดดๆ มีรูปเป็นวิเสสนะ ไม่ต้องใส่นามที่ตนขยายมากำกับ แต่เวลาแปล ผู้แปลต้องโยคนามเอง
จำง่ายๆ
ใช้ปัจจัยในอัพยยศัพท์ ไม่ต้องมีนามกำกับ ใช้สรรพนามต้องมีนามกำกับ
ที่อยู่ : 23/2 หมู่ 7 โรงเรียนพระปริยัติธรรม
วัดพระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
dummy 02-831-1000 ต่อ 13710