โสปากสามเณร ผู้เกิดในป่าช้า

โสปากสามเณร ผู้เกิดในป่าช้า

ความย่อ

สามเณรได้หลุดออกจากครรภ์มารดาและถูกนำไปเลี้ยงดูในป่าช้าแห่งนั้น เด็กชายโสปากะเติบโตในป่าช้าจนอายุได้ ๗ ขวบ เมื่อได้ฟังธรรมก็เกิดความเลื่อมใสในทันที จึงขอออกบวชและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นเอง

ประวัติ

สามเณรน้อยชื่อ โสปากะ แปลว่า "ผู้เกิดในป่าช้า" เพราะท่านเกิดในป่าช้า เรื่องมีอยู่ว่า...สามเณรรอดตายราวปาฏิหาริย์ขณะอยู่ในครรภ์มารดาซึ่งกำลังถูกเผาบนเชิงตะกอนในป่าช้าแห่งหนึ่ง เพราะชาวบ้านเข้าใจผิดว่ามารดาตายแล้ว แต่บุญบารมีที่ท่านจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์จึงมีฝนตกลงมาดับไฟที่กำลังเผาร่างนั้น สามเณรได้หลุดออกจากครรภ์มารดาและถูกนำไปเลี้ยงดูในป่าช้าแห่งนั้น เด็กชายโสปากะเติบโตในป่าช้าจนอายุได้ ๗ ขวบ จึงได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมาโปรดในป่าช้า ทำให้เด็กน้อยเกิดความเลื่อมใสในทันที จึงขอออกบวชและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นเอง

ต่อมา...สามเณรโสปากะได้รับอนุญาตให้บวชเป็นพระจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะอายุเพียง ๗ ขวบ การบวชกระทำโดยตอบปัญหา ๑๐ ข้อ สามเณรสามารถตอบปัญหาเหล่านั้นได้อย่างฉาดฉานและถูกต้อง จนได้รับคำสรรเสริญจากพระพุทธองค์

 

 

โสปากเถรคาถา

คาถาของท่านพระโสปากเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ทิสฺวา ปาสาทฉายายํ ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

แม้พระเถระนี้ ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ รู้เดียงสาแล้ว ถึงความสำเร็จในวิชาและศิลปะทั้งหลายของพวกพราหมณ์ เห็นโทษในกามจึงละการครองเรือนบวชเป็นดาบสอยู่ ณ ภูเขาลูกหนึ่ง.

พระศาสดาทรงทราบว่าดาบสนั้นใกล้จะมรณะ จึงได้เสด็จเข้าไปยังสำนักของท่าน. ดาบสนั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วมีจิตเลื่อมใส เมื่อจะประกาศความปีติและปราโมทย์อันยิ่งใหญ่ จึงได้ตกแต่งอาสนะดอกไม้ถวาย.

พระศาสดาประทับนั่งบนอาสนะนั้นแล้ว ตรัสธรรมีกถาอันสัมปยุตด้วยอนิจจตา เมื่อพระดาบสนั้นเห็นอยู่นั่นแล ได้เสด็จไปทางอากาศ.

 

กำเนิดโสปากะ

ดาบสนั้นละการยึดถือว่าเที่ยงที่ตนเคยถือในกาลก่อน แล้วตั้งอนิจจสัญญาไว้ในหทัย กระทำกาละแล้วได้เกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในโสปากกำเนิด ในเมืองราชคฤห์. ปรากฏโดยชื่ออันมีมาโดยกำเนิดว่า โสปากะ.

ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ท่านเกิดในตระกูลพ่อค้า ส่วนคำว่าโสปากะ เป็นแต่เพียงชื่อ. คำนั้นผิดจากบาลีในอุทาน เพราะกล่าวไว้ว่า เมื่อถึงภพสุดท้าย เราเกิดในกำเนิดโสปากะ ดังนี้.

 

พระศาสดาเสด็จไปโปรด

เมื่อเขาเกิดได้ ๔ เดือน บิดาก็ตาย อาจึงเลี้ยงไว้. ท่านเกิดได้ ๗ ปีโดยลำดับ. วันหนึ่ง อาโกรธว่า ทะเลาะกับลูกของตน จึงนำเขาไปยังป่าช้า เอาเชือกผูกมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วเชือกนั้นนั่นแหละผูกมัดอย่างแน่นหนาติดกับร่างของคนตาย แล้วก็ไปเสียด้วยคิดว่า สุนัขจิ้งจอกเป็นต้นจงกัดกิน.

เพราะเด็กนั้นเป็นผู้มีภพครั้งสุดท้าย เขาไม่อาจให้ตายได้เอง เพราะผลบุญของเด็ก แม้สัตว์ทั้งหลายมีสุนัขจิ้งจอกเป็นต้นก็ไม่อาจครอบงำได้.

ในเวลาเที่ยงคืน เด็กนั้นเพ้ออยู่ว่า

     คติของเราผู้ไม่มีคติจะเป็นอย่างไร หรือเผ่าพันธุ์ของเรา ผู้ไม่มีเผ่าพันธุ์จะเป็นใคร ใครจะเป็นผู้ให้อภัยแก่เรา ผู้ถูกผูกอยู่ในท่ามกลางป่าช้า. 

ในเวลานั้น พระศาสดาทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตอันโพลงอยู่ในภายในหทัยของเด็ก จึงทรงแผ่พระโอภาสทำให้เกิดสติแล้วตรัสอย่างนี้ว่า

     มาเถิดโสปากะ อย่ากลัว จงแลดูตถาคต เราจะยังเธอ ให้ข้ามพ้นไป ดุจพระจันทร์พ้นจากปากราหูฉะนั้น.  

ทารกตัดเครื่องผูกให้ขาดด้วยพุทธานุภาพ ในเวลาจบคาถา ได้เป็นพระโสดาบัน ได้ยืนอยู่ตรงหน้าพระคันธกุฎี.

มารดาของทารกนั้นไม่เห็นบุตรจึงถามอา เมื่ออาเขาไม่บอกความเป็นไปของบุตรนั้น จึงไปค้นหาในที่นั้นๆ คิดว่า เขาเล่าลือว่าพระพุทธเจ้าทรงรู้อดีต อนาคต และปัจจุบัน ถ้ากระไรเราเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามความเป็นไปแห่งบุตรของเรา จึงได้ไปยังสำนักของพระศาสดา.

พระศาสดาทรงปกปิดทารกนั้นด้วยพระฤทธิ์ ทรงถูกนางถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่เห็นบุตรของข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความเป็นไปของเขาบ้างไหม พระเจ้าข้า. จึงตรัสธรรมว่า

     บุตรทั้งหลายย่อมไม่มีเพื่อความเป็นผู้ต้านทาน บิดา ก็ดี เผ่าพันธุ์ก็ดี ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นผู้ต้านทาน ความต้านทานในหมู่ญาติ ย่อมไม่มีแก่ผู้อันความตาย ถึงทับแล้ว. 

นางได้ฟังธรรมนั้นแล้วได้เป็นพระโสดาบัน. ทารกได้บรรลุพระอรหัต.

 

พระโสปากะ ประกาศประวัติท่าน

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ เสด็จมายังสำนักของเรา ซึ่งกำลังชำระเงื้อมเขาอยู่ที่ภูเขาสูงอันประเสริฐ เราเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามา ได้ตกแต่งเครื่องลาดแล้ว ได้ปูลาดอาสนะดอกไม้ถวายแด่พระโลกเชษฐ์ผู้คงที่.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้นายกของโลก ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ ทรงทราบคติของเรา ได้ตรัสความเป็นอนิจจังว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้นสงบระงับเป็นสุข.

พระสัพพัญญูเชษฐบุรุษของโลก เป็นพระผู้ประเสริฐ ทรงเป็นนักปราชญ์ ตรัสดังนี้แล้ว เสด็จเหาะขึ้นไปในอากาศ ดังพระยาหงส์ในอัมพร

เราละทิฏฐิของตนแล้ว เจริญอนิจจสัญญา ครั้นเราเจริญอนิจจสัญญาได้วันเดียว ก็ทำกาละ ณ ที่นั้นเอง เราเสวยสมบัติทั้งสอง อันกุศลมูลกระตุ้นเตือนแล้ว เมื่อเกิดในภพที่สุด เกิดในโสปากกำเนิด (เกิดและเติบโตในป่าช้า) เราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เรามีอายุได้ ๗ ปีโดยกำเนิด ได้บรรลุพระอรหัต. เราปรารภความเพียรมีใจแน่วแน่ ตั้งมั่นอยู่ในศีล ยังพระมหานาคให้ทรงยินดีแล้ว ได้อุปสมบท.

ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ ด้วยผลแห่งกรรมที่เราได้ทำไว้ในกาลนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายอาสนะดอกไม้. ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เจริญสัญญาใดไว้ในกาลนั้น เราเจริญสัญญานั้นอยู่ ได้บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว. คุณวิเศษเหล่านี้คือปฏิสัมภิทา ๔ ... ฯลฯ ... คำสอนพระพุทธเจ้าเราได้ทำตามแล้ว.

 

แก้ปัญหา และได้อุปสมบท

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคลายพระฤทธิ์. ฝ่ายมารดาก็ได้เห็นบุตร ร่าเริงดีใจ ได้ฟังว่าบุตรนั้นเป็นพระขีณาสพ จึงให้บวชแล้วก็ไป. ท่านโสปากะนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดาซึ่งกำลังเสด็จจงกรมอยู่ในร่มเงาแห่งพระคันธกุฎี ถวายบังคมแล้วจงกรมตามเสด็จ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าประสงค์จะทรงอนุญาตอุปสมบทแก่เธอ จึงมีพระดำรัสถามปัญหา ๑๐ ข้อโดยมีอาทิว่า เอกํ นาม กึ อะไรชื่อว่าหนึ่ง ดังนี้. ฝ่ายท่านโสปากะนั้น ถือเอาพระพุทธประสงค์ เทียบเคียงกับพระสัพพัญญุตญาณ ทูลแก้ปัญหาเหล่านั้น โดยนัยมีอาทิว่า สพฺเพ สตฺตา อาหารฏฺฐิติกา สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ดังนี้.

ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ปัญหาเหล่านั้นจึงชื่อว่า กุมารปัญหา. พระศาสดาทรงมีพระทัยโปรดปราน เพราะการพยากรณ์ปัญหาของเธอ จึงทรงอนุญาตการอุปสมบท. ด้วยเหตุนั้น อุปสมบทนั้นจึงชื่อว่า ปัญหพยากรณอุปสมบท อุปสมบทด้วยการพยากรณ์ปัญหา.

พระเถระครั้นประกาศประวัติของตนดังนี้แล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

        เราได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านรชน เป็นอุดมบุรุษ เสด็จจงกรมอยู่ในร่มเงาแห่งพระคันธกุฎี จึงเข้าไปเฝ้าพระองค์ ณ ที่นั้น แล้วถวายบังคม. เราห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนม มือจงกรมตามพระองค์ผู้ปราศจากกิเลสธุลี ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง 
        ลำดับนั้น พระองค์ได้ตรัสถามปัญหาเรา เราเป็นผู้ฉลาด รอบรู้ปัญหาทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีความหวาดหวั่น และไม่กลัว ได้พยากรณ์ (ปัญหา) แด่พระศาสดา เมื่อเราวิสัชนาปัญหาแล้ว พระตถาคตทรงอนุโมทนา ทรงตรวจดูหมู่ภิกษุแล้ว ได้ตรัสเนื้อ ความนี้ว่า โสปากภิกษุนี้ บริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ คิลานปัจจัย ของชาวอังคะและมคธะเหล่าใด ก็เป็นลาภของชาว อังคะและมคธะเหล่านั้น. อนึ่ง ได้ตรัสว่า เป็นลาภของชาวอังคะ และมคธะที่ได้ต้อนรับและทำสามีจิกรรมแก่โสปากภิกษุ. 
        ดูก่อนโสปากะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้เธอเข้ามาหาเรา ได้ ดูก่อนโสปากะการวิสัชนาปัญหานี้ จงเป็นการอุปสมบทของ เธอ.  
        เรามีอายุได้ ๗ ปีแต่เกิดมาก็ได้อุปสมบท ยังคงทรงร่าง กายอันมีในชาติสุดท้ายนี้ไว้ น่าอัศจรรย์ความที่พระธรรมเป็น ธรรมดี.  

 

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาสาทฉายายํ ได้แก่ ในร่มเงาแห่งพระคันธกุฎี. บทว่า วนฺทิสฺสํ แปลว่า ถวายบังคมแล้ว. บทว่า สํหริตฺวาน ปาณโย ได้แก่ กระทำมือทั้งสองให้บรรจบกันโดยอาการดอกบัวตูม. อธิบายว่า กระทำอัญชลี.

บทว่า อนุจงฺกมิสฺสํ ความว่า เราเดินจงกรมโดยการเดินตามไปเบื้องพระปฤษฎางค์ แห่งพระศาสดาผู้ทรงจงกรมอยู่. บทว่า วิรชํ แปลว่า ปราศจากธุลีมีราคะเป็นต้น. บทว่า ปญฺเห ได้แก่ กุมารปัญหา.

บทว่า วิทู ได้แก่ รู้สิ่งที่ควรรู้. อธิบายว่า รู้สิ่งทั้งปวง. ชื่อว่าผู้ไม่สะดุ้งและไม่กลัว เพราะเราละความสะดุ้งและความกลัวที่เกิดขึ้นว่า พระศาสดาจักตรัสถามเราดังนี้ ด้วยพระอรหัตมรรคแล้ว จึงพยากรณ์. บทว่า เยสายํ โยคว่า เยสํ องฺคมคธานํ อยํ โสปาโก โสปากะบริโภคจีวร ฯลฯ ของชาวอังคะและมคธะเหล่าใด.

บทว่า ปจฺจยํ ได้แก่ คิลานปัจจัย. บทว่า สามีจึ ได้แก่ กระทำสามีจิกรรม มีการหลีกทางให้และการพัดวีเป็นต้น. อักษรในบทว่า อชฺชทคฺเค นี้ กระทำการเชื่อมบท. อธิบายว่า กระทำวันนี้ให้เป็นต้นไป คือจำเดิมแต่วันนี้. บาลีว่า อชฺชตคฺเค ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า กระทำกาลมีในวันนี้ให้เป็นต้นไป.

บทว่า ทสฺสนาโยปสงฺกม ความว่า เธออย่าคิดว่า มีชาติตํ่าหรืออ่อนวัยกว่า จงเข้าไปพบเรา. บทว่า เอสา เจว มีวาจาประกอบความว่า ก็พระศาสดาได้ตรัสว่า ข้อที่เธอเทียบเคียงกับสัพพัญญุตญาณของเราแล้ว กระทำการแก้ปัญหานี้นั่นแล จงเป็นอุปสมบทของเธอ. บาลีว่า ลทฺธา เม อุปสมฺปทา เราได้อุปสมบทแล้ว ดังนี้ก็มี.

สำหรับอาจารย์บางพวกที่กล่าวว่า ลทฺธาน อุปสมฺปทํ ได้อุปสมบทแล้วดังนี้นั้น. บทว่า สตฺตวสฺเสน ได้แก่ โดยปีที่ ๗. อีกอย่างหนึ่ง พึงเติมคำที่เหลือว่า สตฺตวสฺเสน หุตฺวา เป็นผู้มีอายุ ๗ ปี. ส่วนคำที่ไม่ได้กล่าวไว้ในที่นี้ ง่ายทั้งนั้น.

 


ที่มา อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา สัตตกนิบาต ๔. โสปากเถรคาถา

48572375
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
39521
74766
39521
48264582
786131
1272582
48572375

Your IP: 3.136.19.136
2024-12-22 16:31
© Copyright pariyat.com 2024. by กองทะเบียนและสารสนเทศ

Search