อัสสชิเถระ

อัสสชิเถระ

ความย่อ

พระอัสสชิเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ และพระอสีติมหาสาวก ในตอนปฐมโพธิกาลได้ช่วยเป็นกำลัง ประกาศพระศาสนาในที่ต่างๆ

ประวัติ

 

" ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ
พระตถาคต กล่าวเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับ ของธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะ มีวาทะอย่างนี้ "

 

ชาติภูมิท่านพระอัสสชิ


เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาลในเมืองกบิลพัศดุ์นคร พราหมณ์ผู้เป็นบิดา ได้เห็นพระมหาบุรุษ มีพระลักษณะ ถูกต้องตามตำราลักษณะพยากรณ์ศาสตร์ ในคราวที่ได้รับเชิญเลี้ยงโภชนาหารในพระราชพิธีทำนายพระลักษณะของพระองค์ จึงได้มาบอกเล่าให้ท่านฟัง และสั่งไว้ว่า บิดาก็แก่เฒ่าชราแล้ว เห็นจะไม่ทันเห็นพระองค์ ถ้าพระมหาบุรุษเสด็จออกทรงผนวชเมื่อใด ให้ออกบวชตามเสด็จเมื่อนั้น ตั้งแต่นั้นมาท่านมีความเคารพนับถือ และเชื่อในพระองค์เป็นอันมาก

เมื่อพระมหาบุรุษเสด็จออกทรงผนวชแล้ว และกำลังบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ท่านได้ทราบข่าวจึงพร้อมด้วยพราหมณ์ ๔ คน มีโกณฑัญญะพราหมณ์เป็นหัวหน้า พากันออกบวชตามเสด็จ คอยเฝ้าปฏิบัติพระองค์อยู่ทุกเช้าค่ำ ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี ยังไม่ได้บรรลุธรรมพิเศษอันใด ทรงทราบแน่ในพระทัยว่า ไม่ใช่ทางแห่งการตรัสรู้ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกกรกิริยานั้นเสีย ตั้งพระทัยบำเพ็ญเพียรในทางใจสืบต่อไปฯ

ทว่าท่านเข้าใจว่า พระองค์คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก ในกิเลสกามคุณเสียแล้ว เห็นจะไม่ได้บรรลุธรรมพิเศษ อันใดอันหนึ่งเป็นแน่นอน จึงเกิดความเบื่อหน่ายพากันละทิ้งพระองค์เสีย แล้วหลีกไปอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสีฯ

ครั้นพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรในทางใจได้ตรัสรู้แล้ว จึงเสด็จไปตรัสเทศนา ธัมมจักกัปปวัตนสูตร โปรดเป็นปฐมเทศนา และวันต่อมา ตรัสปกิรณกเทศนา ท่านได้สดับเทศนานั้น พอเป็นเครื่องปลูกความเชื่อแลเลื่อมใส แต่หาได้สำเร็จมรรคผลอันใดไม่ ครั้นได้สดับ ปกิรณกเทศนา ที่พระองค์ตรัสในวาระที่สี่ ท่านได้ดวงตาเห็นธรรมฯ

 

อุปสมบท


ท่านได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงรับให้เป็นภิกษุด้วยวิธี “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ครั้นกาลต่อมาได้ฟังเทศนา อนัตตลักขณสูตร ที่พระองค์ทรงแสดง ในลำดับ ปกิรณกเทศนา นั้น ท่านพร้อมด้วยภิกษุ ๔ รูป คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็น พระอเสขบุคคล ก่อนกว่าพระอริยสาวกทั้งหมดฯ

 

การบำเพ็ญประโยชน์ (ประกาศพระศาสนา)


ครั้นเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดา ทรงส่งสาวกไปประกาศพระศาสนาในตอนปฐมโพธิกาล ท่านองค์หนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น ได้ช่วยเป็นกำลังประกาศพระศาสนาในนานาชนบท ปรากฏว่าท่านเป็นผู้เฉลียวฉลาด รู้จักประมาณตน ไม่โอ้อวด หรือเย่อหยิ่ง กิริยามารยาท ก็เป็นที่น่าเลื่อมใส

มื่อสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ ประเวฬุวัน ในกรุงราชคฤห์ วันหนึ่งท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ อุปติสสปริพพาชก เดินมาแต่สำนักของปริพพาชก ได้เห็นท่านเข้าเกิดความเลื่อมใส จึงขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง ท่านกล่าวว่า ผู้มีอายุ เราเป็นคนใหม่บวชไม่นาน พึ่งมายังพระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านโดยกว้างขวาง เราจักกล่าวแก่ท่านโดยย่อพอรู้ความ แล้วท่านก็แสดงธรรมแก่ อุปติสสปริพพาชกพอเป็นเลา ๆ ความว่า...

เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ

“ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของธรรมนั้น
และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้”

อุปติสสปริพพาชก ได้ฟังก็ได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วท่านก็ได้ชักนำ ให้ไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ภายหลังปรากฏว่า อุปติสสปริพพาชก ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา มีนามว่า สารีบุตร เป็นอัครสาวกฝ่ายขวา จัดว่าท่านพระอัสสชิ ได้ศิษย์สำคัญองค์หนึ่ง ท่านดำรงอายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธ์ปรินิพพานฯ

 

 


ที่มา http://www.dhammataankusoljit.org

47119477
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
11672
37088
269551
46606637
605815
1172714
47119477

Your IP: 3.133.135.8
2024-11-16 10:23
© Copyright pariyat.com 2024. by กองทะเบียนและสารสนเทศ

Search