สุขสามเณร

สุขสามเณร

ความย่อ

สุขกุมาร ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ ได้บวชในสำนักพระสารีบุตรเถระ พบเหมืองน้ำเป็นต้นระหว่างทาง จึงถามพระเถระดุจสามเณรบัณฑิต และได้กลับกุฏิบำเพ็ญสมณะธรรม ระหว่างนั้นพระศาสดาและทวยเทพก็ให้การคุ้มครองจนบรรลุพระอรหันต์

ประวัติ

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสุขสามเณร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา" เป็นต้น.

 

เรื่องคันธเศรษฐี

ความพิสดารว่า ในอดีตกาล มีบุตรของเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี คนหนึ่งชื่อว่า คันธกุมาร เมื่อบิดาของเธอถึงแก่กรรมแล้ว พระราชารับสั่งให้หาเธอมาเฝ้า ทรงปลอบโยนแล้ว ได้พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีแก่เธอนั้นแล ด้วยสักการะเป็นอันมาก. จำเดิมแต่กาลนั้นมา คันธกุมารนั้นก็ได้ปรากฏนามว่า "คันธเศรษฐี"

ครั้งนั้น ผู้รักษาเรือนคลังของเศรษฐีนั้นได้เปิดประตูห้องสำหรับเก็บทรัพย์ ขนออกมาแล้ว ชี้แจงว่า "นาย ทรัพย์นี้ของบิดาท่านมีประมาณเท่านี้ ของบุรพบุรุษมีปู่เป็นต้นมีจำนวนเท่านี้." เศรษฐีนั้นแลดูกองทรัพย์แล้ว พูดว่า " ก็ทำไม บุรพบุรุษเหล่านั้นจึงมิได้ถือเอาทรัพย์นี้ไปด้วย?" ผู้รักษาเรือนคลังตอบว่า "นาย ชื่อว่าผู้ที่จะถือเอาทรัพย์ไปด้วยไม่มี แท้จริง สัตว์ทั้งหลายพาเอาแต่กุศลอกุศลที่ตนได้ทำไว้เท่านั้นไป"

 

เศรษฐีจ่ายทรัพย์สร้างสิ่งต่างๆ

เศรษฐีนั้นคิดว่า "บุรพบุรุษเหล่านั้นพากันสั่งสมทรัพย์ไว้แล้ว ก็ละทิ้งไปเสีย เพราะความที่ตนเป็นคนโง่ ส่วนเราจักถือเอาทรัพย์นั่นไปด้วย" ก็คันธเศรษฐี เมื่อคิดอยู่อย่างนั้น มิได้คิดว่า "เราจักให้ทาน หรือจักทำการบูชา" คิดแต่ว่า "เราจักบริโภคทรัพย์นี้ให้หมดแล้วจึงไป."

เศรษฐีนั้นได้สละทรัพย์แสนหนึ่งให้ทำซุ้มที่อาบน้ำ อันแล้วด้วยแก้วผลึก, จ่ายทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำกระดานสำหรับอาบน้ำ อันแล้วด้วยแก้วผลึกเหมือนกัน, จ่ายทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำบัลลังก์สำหรับนั่ง, จ่ายทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำถาดสำหรับใส่โภชนะ, จ่ายทรัพย์อีกแสนหนึ่ง ให้ทำมณฑปในที่บริโภค, จ่ายทรัพย์แสนหนึ่ง ให้ทำเตียงรองถาดโภชนะ, ให้สร้างสีหบัญชรไว้ในเรือนด้วยทรัพย์แสนหนึ่งเหมือนกัน, ได้จ่ายทรัพย์พันหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่อาหารเช้าของตน, จ่ายทรัพย์อีกพันหนึ่ง แม้เพื่อประโยชน์แก่อาหารเย็น, แต่ในวันเพ็ญ ได้สั่งจ่ายทรัพย์แสนหนึ่งเพื่อประโยชน์แก่โภชนะ,

ในวันบริโภคภัตนั้น ท่านเศรษฐีได้สละทรัพย์แสนหนึ่ง ตกแต่งพระนคร ใช้คนเที่ยวตีกลองประกาศว่า "ได้ยินว่า มหาชนจงดูท่าทางแห่งการบริโภคภัตของคันธเศรษฐี." มหาชนได้ผูกเตียงซ้อนเตียงประชุมกัน.

ฝ่ายคันธเศรษฐีนั้นนั่งบนแผ่นกระดานอันมีค่าแสนหนึ่ง ในซุ้มอาบน้ำอันมีค่าแสนหนึ่ง อาบน้ำด้วยหม้อน้ำหอม ๑๖ หม้อ เปิดสีหบัญชรนั้นแล้ว นั่งบนบัลลังก์นั้น

กาลนั้น พวกคนใช้วางถาดนั้นไว้บนเตียงรองนั้นแล้ว คดโภชนะอันมีค่าแสนหนึ่งเพื่อเศรษฐีนั้น. ท่านเศรษฐีอันหญิงนักฟ้อนแวดล้อมแล้ว บริโภคโภชนะนั้นอยู่ด้วยสมบัติเห็นปานนี้.

 

คนบ้านนอกกระหายในภัตของเศรษฐี

โดยสมัยอื่น คนบ้านนอกผู้หนึ่งบรรทุกฟืนเป็นต้น ใส่ในยานย่อมๆ เพื่อต้องการแลกเปลี่ยนเสบียงอาหารสำหรับตน ไปถึงพระนครแล้ว ก็พักอยู่ในเรือนของสหาย. ก็กาลนั้นเป็นวันเพ็ญ ชนทั้งหลายเที่ยวตีกลองประกาศในพระนครว่า "มหาชนจงดูท่าทางบริโภคของท่านคันธเศรษฐี."

ครั้งนั้น สหายจึงกล่าวกะชาวบ้านนอกนั้นว่า "เพื่อนเอ๋ย ท่าทางบริโภคภัตของคันธเศรษฐี เพื่อนเคยเห็นหรือ?" ชาวบ้านนอก. ไม่เคยเห็นเลย เพื่อน.

สหายชาวเมือง. ถ้ากระนั้นมาเถิดเพื่อน เราจักไปด้วยกัน, กลองนี้เที่ยวไปทั่วพระนคร เราจักดูสมบัติใหญ่.

สหายชาวเมืองได้พาสหายชาวบ้านนอกไปแล้ว. แม้มหาชนก็ได้พากันขึ้นเตียงซ้อนเตียงดูอยู่. สหายชาวบ้านนอกพอได้สูดกลิ่นภัต ก็พูดกับสหายชาวเมืองว่า "กันเกิดกระหายในก้อนภัตในถาดนั่นแล้วละ"

สหายชาวเมือง. อย่าปรารภก้อนภัตนั้นเลยเพื่อน เราไม่อาจจะได้ดอก. ชาวบ้านนอก. เพื่อนเอ๋ย เมื่อไม่ได้ ก็จักไม่เป็นอยู่ (ต่อไปละ).

สหายชาวเมืองนั้น เมื่อไม่อาจห้ามสหายชาวบ้านนอกนั้นไว้ได้ ยืนอยู่ท้ายบริษัท เปล่งเสียงดัง ๓ ครั้งว่า "นาย ฉันไหว้ท่าน" เมื่อคันธเศรษฐีถามว่า "นั่นใคร?" จึงตอบว่า "ผมครับ นาย." เศรษฐี. นี่เหตุอะไรกัน? สหายชาวเมือง. คนบ้านนอกผู้หนึ่งนี้ เกิดกระหายในก้อนภัตในถาดของท่าน ขอท่านกรุณาให้ก้อนภัตก้อนหนึ่งเถิด.

เศรษฐี. ไม่อาจจะได้ดอก. สหายชาวเมือง. คำของเศรษฐี เพื่อนได้ยินไหม เพื่อน.

ชาวบ้านนอก. กันได้ยินแล้วเพื่อน เออ ก็กันเมื่อได้ จักเป็นอยู่ เมื่อกันไม่ได้ ความตายจักมี. สหายชาวเมืองร้องอีกว่า "นาย ได้ยินว่า ชายคนนี้ เมื่อไม่ได้ก็จักตาย ขอท่านจงให้ชีวิตแก่เขาเถิด. คันธเศรษฐี. ท่านผู้เจริญ ชื่อว่าก้อนภัตนี้ ย่อมถึงค่าร้อยหนึ่งก็มี สองร้อยก็มี ผู้ใดๆ ย่อมขอ. เมื่อให้แก่ผู้นั้นๆ ฉันจักบริโภคอะไรเล่า?

สหายชาวเมือง. นาย ชายคนนี้ เมื่อไม่ได้จักตาย ขอท่านจงให้ชีวิตแก่เขาเถิด. คันธเศรษฐี. เขาไม่อาจได้เปล่าๆ ก็ถ้าเขาเมื่อไม่ได้จักไม่เป็นอยู่ไซร้ ชายนั้นจงทำการรับจ้างในเรือนของฉัน ๓ ปี ฉันจักให้ถาดภัตแก่เขาถาดหนึ่ง.

 

ชาวชนบทยอมทำการรับจ้างในบ้านเศรษฐี

ชาวบ้านนอกฟังคำนั้นแล้ว จึงพูดกะสหายว่า "อย่างนั้น เอาละเพื่อน" ดังนี้แล้ว ได้ละบุตรและภรรยา เข้าไปสู่เรือนของเศรษฐี ด้วยหมายใจว่า "จักทำการรับจ้างตลอด ๓ ปี เพื่อประโยชน์แก่ถาดภัตถาดหนึ่ง" เขาเมื่อทำการรับจ้าง ได้ทำกิจทุกอย่างโดยเรียบร้อย การงานที่ควรทำในบ้าน ในป่า กลางวัน กลางคืน ได้ปรากฏว่า เขาทำเสร็จเรียบร้อย.

เมื่อมหาชนเรียกเขาว่า "นายภัตตภติกะ" คำนั้นได้ปรากฏไปทั่วพระนคร.

กาลต่อมา เมื่อวัน (รับจ้าง) ของนายภัตตภติกะครบบริบูรณ์แล้ว, ผู้จัดการภัตเรียนว่า "นาย วัน (รับจ้าง) ของนายภัตตภติกะครบบริบูรณ์แล้ว เขาทำการรับจ้างอยู่ตลอด ๓ ปี ทำกรรมยากที่คนอื่นจะทำได้แล้ว การงานแม้สักอย่างหนึ่ง ก็ไม่เคยเสียหาย."

ครั้งนั้น ท่านเศรษฐีได้สั่งจ่ายทรัพย์ ๓ พันแก่ผู้จัดการภัตนั้น คือสองพันเพื่อประโยชน์แก่อาหารเย็นและอาหารเช้าของตน พันหนึ่งเพื่อประโยชน์แก่อาหารเช้าของนายภัตตภติกะนั้น แล้วสั่งคนใช้ว่า "วันนี้ พวกเจ้าจงทำการบริหารที่พึงทำแก่เรา แก่นายภัตตภติกะนั้นเถิด."

ก็แลครั้นสั่งแล้ว จึงสั่งแม้กะชนที่เหลือ เว้นภรรยาผู้เป็นที่รักนามว่าจินดามณีคนเดียว ว่า "วันนี้ พวกเจ้าจงแวดล้อมนายภัตตภติกะนั้นเถิด." ดังนี้แล้ว ก็มอบสมบัติทั้งหมดให้แก่นายภัตตภติกะนั้น.

 

นายภัตตภติกะเตรียมบริโภคภัต

นายภัตตภติกะนั้น นั่งบนแผ่นกระดานนั้นในซุ้มนั้นนั่นแล อาบน้ำด้วยน้ำสำหรับอาบของเศรษฐี นุ่งผ้าสาฎกสำหรับนุ่งของเศรษฐีนั่นแหละ แล้วนั่งบนบัลลังก์ของเศรษฐีนั้นเหมือนกัน.

แม้ท่านเศรษฐีก็ใช้ให้คนเอากลองเที่ยวตีประกาศไปในพระนครว่า "นายภัตตภติกะทำการรับจ้างตลอด ๓ ปีในเรือนของคันธเศรษฐี ได้ถาดภัตถาดหนึ่ง ขอชนทั้งหลายจงดูสมบัติแห่งการบริโภคของเขา."

มหาชนได้ขึ้นเตียงซ้อนเตียงดูอยู่. ที่ๆ ชายชาวบ้านนอกแลดูแล้วๆ ก็ได้ถึงอาการหวั่นไหว. พวกนักฟ้อนได้ยืนล้อมนายภัตตภติกะนั้น. พวกคนใช้ยกถาดภัตถาดหนึ่ง ตั้งไว้ข้างหน้าของนายภัตตภติกะนั้นแล้ว.

ครั้งนั้น ในเวลาที่นายภัตตภติกะนั้นล้างมือ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติในวันที่ ๗ แล้ว ใคร่ครวญอยู่ว่า "วันนี้ เราจักไปเพื่อประโยชน์แก่ภิกขาจารในที่ไหนหนอแล?" ก็ได้เห็นนายภัตตภติกะแล้ว.

ครั้งนั้น ท่านพิจารณาต่อไปอีกว่า "นายภัตตภติกะนี้ทำการรับจ้างถึง ๓ ปี จึงได้ถาดภัต. ศรัทธาของเขามีหรือไม่มีหนอ?" ใคร่ครวญไปก็ทราบได้ว่า "ศรัทธาของเขามีอยู่" คิดไปอีกว่า "คนบางพวก ถึงมีศรัทธา ก็ไม่อาจเพื่อทำการสงเคราะห์ได้, นายภัตตภติกะนี้จักอาจหรือไม่หนอ เพื่อจะทำการสงเคราะห์เรา?" ก็รู้ว่า "นายภัตตภติกะจักอาจทีเดียว ทั้งจักได้มหาสมบัติเพราะอาศัยเหตุ คือการสงเคราะห์แก่เราด้วย" ดังนี้แล้ว จึงห่มจีวรถือบาตร เหาะขึ้นสู่เวหาสไปโดยระหว่างบริษัท แสดงตนยืนอยู่ข้างหน้าแห่งนายภัตตภติกะนั้นนั่นแล.

 

นายภัตตภติกะถวายภัตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า

นายภัตตภติกะนั้นเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว คิดว่า "เราได้ทำการรับจ้างในเรือนคนอื่นถึง ๓ ปี ก็เพื่อประโยชน์แก่ถาดภัตถาดเดียว เพราะความที่เราไม่ได้ให้ทานในกาลก่อน, บัดนี้ ภัตนี้ของเราพึงรักษาเรา ก็เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง, ก็ถ้าเราจักถวายภัตนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้า, ภัตจักรักษาเราไว้มิใช่พันโกฏิกัลป์เดียว เราจักถวายภัตนั้นแก่พระผู้เป็นเจ้าละ."

นายภัตตภติกะนั้นทำการรับจ้างตลอด ๓ ปี ได้ถาดภัตแล้ว ไม่ทันวางภัตแม้ก้อนเดียวในปาก บรรเทาความอยากได้ ยกถาดภัตขึ้นเองทีเดียว ไปสู่สำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้า ให้ถาดในมือของคนอื่นแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว เอามือซ้ายจับถาดภัต เอามือขวาเกลี่ยภัตลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น.

พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เอามือปิดบาตรเสีย ในเวลาที่ภัตยังเหลืออยู่กึ่งหนึ่ง. ครั้งนั้น นายภัตตภติกะนั้นเรียนท่านว่า "ท่านขอรับ ภัตส่วนเดียวเท่านั้น ผมไม่อาจเพื่อจะแบ่งเป็น ๒ ส่วนได้ ท่านอย่าสงเคราะห์ผมในโลกนี้เลย ขอจงทำการสงเคราะห์ในปรโลกเถิด ผมจักถวายทั้งหมดทีเดียว ไม่ให้เหลือ."

 

ทานที่ถวายไม่เหลือมีผลมาก

จริงอยู่ ทานที่บุคคลถวายไม่เหลือไว้เพื่อตนแม้แต่น้อยหนึ่ง ชื่อว่าทานไม่มีส่วนเหลือ ทานนั้นย่อมมีผลมาก. นายภัตตภติกะนั้น เมื่อทำอย่างนั้น จึงได้ถวายหมด ไหว้อีกแล้ว เรียนว่า "ท่านขอรับ ผมอาศัยถาดภัตถาดเดียว ต้องทำการรับจ้างในเรือนของคนอื่นถึง ๓ ปี ได้เสวยทุกข์แล้ว, บัดนี้ ขอความสุขจงมีแก่กระผมในที่ที่บังเกิดแล้วเถิด. ขอกระผมพึงมีส่วนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้วเถิด."

พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า "ขอจงสมคิด เหมือนแก้วสารพัดนึก ความดำริอันให้ความใคร่ทุกอย่าง จงบริบูรณ์แก่ท่าน เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญฉะนั้น" เมื่อจะทำอนุโมทนา จึงกล่าวว่า

"สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสำเร็จพลันทีเดียว, ความดำริทั้งปวง จงเต็มเหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ. สิ่งที่ท่านมุ่งหมายแล้ว จงสำเร็จพลันทีเดียว, ความดำริทั้งปวง จงเต็มเหมือนแก้วมณีโชติรส ฉะนั้น" 

ดังนี้แล้ว อธิษฐานว่า "ขอมหาชนนี้จงยืนเห็นเรา จนกระทั่งถึงเขาคันธมาทน์เถิด." ได้ไปสู่ภูเขาคันธมาทน์โดยอากาศแล้ว. ถึงมหาชนก็ได้ยืนเห็นท่านอยู่นั่นแหละ. พระปัจเจกพุทธเจ้าไปภูเขาคันธมาทน์แล้ว ได้แบ่งบิณฑบาตนั้นถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูป พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ รูป ได้รับเอาภัตเพียงพอแก่ตนๆ แล้ว.

ใครๆ ไม่พึงคิดว่า "บิณฑบาตเล็กน้อยจะพอเพียงอย่างไร?" ด้วยว่าอจินไตย ๔ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ในอจินไตย ๔ เหล่านั้น นี้ก็เป็นปัจเจกพุทธวิสัยแล.

 

คันธเศรษฐีแบ่งทรัพย์ให้นายภัตตภติกะ

มหาชนเห็นบิณฑบาตที่พระปัจเจกพุทธเจ้าแบ่งถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายอยู่ ก็ได้พากันยังพันแห่งสาธุการให้เป็นไปแล้ว, เสียงสาธุการได้เป็นประหนึ่งเสียงอสนีบาต.

คันธเศรษฐีได้ยินเสียงนั้นแล้ว จึงคิดว่า "นายภัตตภติกะเห็นจะไม่สามารถทรงสมบัติที่เราให้แล้วได้, เพราะเหตุนั้น มหาชนนี้ เมื่อทำการหัวเราะเยาะจึงได้อื้อฉาวขึ้น.

ท่านเศรษฐีนั้นส่งคนไปเพื่อทราบเรื่องราวที่เป็นไปแล้ว. คนเหล่านั้นมาแล้ว บอกว่า "นายขอรับ ธรรมดาผู้ทรงสมบัติ ย่อมเป็นเห็นปานนี้" ดังนี้แล้ว จึงบอกเรื่องราวที่เป็นไปแล้วนั้น.

เศรษฐีฟังเรื่องนั้นแล้ว เป็นผู้มีสรีระอันปีติมีวรรณะ ๕ ถูกต้องแล้ว จึงกล่าวว่า "น่าอัศจรรย์ นายภัตตภติกะนั้นทำสิ่งที่บุคคลทำได้โดยยากแล้ว เราดำรงอยู่ในสมบัติเห็นปานนี้ ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ยังไม่ได้อาจเพื่อให้สิ่งไรได้" ดังนี้แล้ว จึงให้เรียกนายภัตตภติกะนั้นมาแล้ว ถามว่า "ได้ยินว่า เธอทำกรรมชื่อนี้จริงหรือ ?" เมื่อเขาตอบว่า "ขอรับ นาย" จึงกล่าวว่า "เอาเถิด เธอจงถือเอาทรัพย์พันหนึ่งแล้วแบ่งส่วนบุญในทานของเธอให้ฉันบ้าง." นายภัตตภติกะนั้นได้ทำตามนั้นแล้ว. แม้เศรษฐีก็ได้แบ่งครึ่งทรัพย์สมบัติอันเป็นของๆ ตนทั้งหมดให้แก่นายภัตตภติกะนั้น.

 

สัมปทา ๔ อย่าง

จริงอยู่ ชื่อว่าสัมปทามี ๔ อย่างคือ วัตถุสัมปทา ปัจจัยสัมปทา เจตนาสัมปทา คุณาติเรกสัมปทา.

ในสัมปทา ๔ อย่างนั้น พระอรหันต์ หรือพระอนาคามี ควรแก่นิโรธสมาบัติ ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ชื่อวัตถุสัมปทา, การบังเกิดขึ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย โดยธรรมสม่ำเสมอ ชื่อปัจจัยสัมปทา, ความที่เจตนาใน ๓ กาล คือในกาลก่อนแต่ให้, ในกาลกำลังให้, ในกาลภายหลัง สัมปยุตด้วยญาณ อันกำกับโดยโสมนัส ชื่อเจตนาสัมปทา, ส่วนความที่พระทักขิไณยบุคคลออกจากสมาบัติ ชื่อว่าคุณาติเรกสัมปทา.

ก็สัมปทาทั้ง ๔ อย่างคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ขีณาสพเป็นทักขิไณยบุคคล, ปัจจัยที่เกิดแล้วโดยธรรม โดยความที่ทำการจ้างได้แล้ว, เจตนาบริสุทธิ์ใน ๓ กาล, พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ออกจากสมาบัติเป็นผู้ยิ่งโดยคุณ สำเร็จแล้วแก่นายภัตตภติกะนี้

ด้วยอานุภาพแห่งสัมปทา ๔ นี้ นายภัตตภติกะจึงบรรลุมหาสมบัติในทันตาเห็นทีเดียว เพราะฉะนั้น นายภัตตภติกะนั้นจึงได้สมบัติจากสำนักของเศรษฐี.

 

นายภัตตภติกะได้เป็นเศรษฐี

ก็ในกาลต่อมา แม้พระราชาทรงสดับกรรมที่นายภัตตภติกะนี้ทำแล้ว จึงได้รับสั่งให้เรียกเข้ามาเฝ้า แล้วพระราชทานทรัพย์ให้พันหนึ่ง ทรงรับส่วนบุญ ทรงพอพระทัย พระราชทานโภคะเป็นอันมาก แล้วก็ได้พระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้.

เขาได้มีชื่อว่า "ภัตตภติกเศรษฐี" ภัตตภติกเศรษฐีนั้นเป็นสหายกับคันธเศรษฐี กินดื่มร่วมกัน ดำรงอยู่ตลอดอายุแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ ๑ พุทธันดร.

ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในตระกูลอุปัฏฐากของพระสารีบุตรเถระ ในเมืองสาวัตถี.

 

นายภัตตภติกะไปเกิดในเมืองสาวัตถี

ครั้งนั้น มารดาของทารกนั้นได้ครรภ์บริหารแล้ว โดยล่วงไป ๒-๓ วัน ก็เกิดแพ้ท้องว่า "โอหนอ เราถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแก่พระสารีบุตรเถระพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป นุ่งผ้าย้อมฝาดแล้ว ถือขันทองนั่งอยู่ ณ ท้ายอาสนะ พึงบริโภคภัตที่เหลือเดนของภิกษุทั้งหลายนั้น" ดังนี้แล้ว ทำตามความคิดนั้นนั่นแล บรรเทาความแพ้ท้องแล้ว.

นางแม้ในกาลมงคลอื่นๆ ถวายทานอย่างนั้นเหมือนกัน คลอดบุตรแล้ว ในวันตั้งชื่อ จึงเรียนพระเถระว่า "จงให้สิกขาบทแก่ลูกชายของฉันเถิด ท่านผู้เจริญ." พระเถระถามว่า "เด็กนั้นชื่อไร?"

เมื่อมารดาของเด็กเรียนว่า "ท่านผู้เจริญ จำเดิมแต่ลูกชายของฉันถือปฏิสนธิ ขึ้นชื่อว่าทุกข์ ไม่เคยมีแก่ใครในเรือนนี้ เพราะฉะนั้น คำว่า ‘สุขกุมาร’ นั่นแล จักเป็นชื่อของเด็กนั้น." จึงถือเอาคำนั้นแล เป็นชื่อของเด็กนั้น ได้ให้สิกขาบทแล้ว.

ในกาลนั้น ความคิดได้เกิดแก่มารดาของเด็กนั้นอย่างนี้ว่า "เราจักไม่ทำลายอัธยาศัยของลูกชายเรา." แม้ในกาลมงคลทั้งหลาย มีมงคลเจาะหูเด็กนั้นเป็นต้น นางก็ได้ถวายทานอย่างนั้นเหมือนกัน.

 

สุขกุมารบรรพชา

ฝ่ายกุมาร ในเวลามีอายุ ๗ ขวบ ก็พูดว่า "คุณแม่ ผมอยากออกบวชในสำนักของพระเถระ." นางตอบว่า "ดีละ พ่อแม่จักไม่ทำลายอัธยาศัยของเจ้า" ดังนี้แล้ว จึงนิมนต์พระเถระ ให้ท่านฉันแล้ว ก็เรียนว่า "ท่านผู้เจริญ ลูกชายของฉันอยากบวช, ในเวลาเย็น จักนำเด็กนี้ไปสู่วิหาร" ส่งพระเถระไปแล้ว ให้ประชุมพวกญาติ กล่าวว่า "ในเวลาที่ลูกชายของฉันเป็นคฤหัสถ์ พวกเราจักทำกิจที่ควรทำในวันนี้แหละ" ดังนี้แล้ว จึงแต่งตัวลูกชายนำไปวิหาร ด้วยสิริโสภาคอันใหญ่ แล้วมอบถวายแก่พระเถระ.

ฝ่ายพระเถระกล่าวกะสุขกุมารนั้นว่า "พ่อ ธรรมดาบรรพชา ทำได้โดยยาก, เจ้าจักอาจเพื่ออภิรมย์หรือ?" เมื่อตอบว่า "ผมจักทำตามโอวาทของท่าน ขอรับ" จึงให้กัมมัฏฐาน ให้บวชแล้ว.

แม้มารดาบิดาของสุขกุมารนั้น เมื่อทำสักการะในการบรรพชา ก็ถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในภายในวิหารนั่นเองตลอด ๗ วัน ในเวลาเย็นจึงได้ไปสู่เรือนของตน.

ในวันที่ ๓ พระสารีบุตรเถระ เมื่อภิกษุสงฆ์เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ทำกิจที่ควรทำในวิหารแล้ว จึงให้สามเณรถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต.

 

สุขสามเณรฝึกตน

สามเณรเห็นเหมืองน้ำเป็นต้นในระหว่างทาง จึงถามพระเถระ ดุจสามเณรบัณฑิต. แม้พระเถระก็พยากรณ์แก่สามเณรนั้นอย่างนั้นเหมือนกัน. สามเณรฟังเหตุนั้นแล้ว จึงเรียนพระเถระว่า "ถ้าท่านพึงรับบาตรและจีวรของท่านไซร้ กระผมพึงกลับ."

เมื่อพระเถระไม่ทำลายอัธยาศัยของสามเณรนั้น กล่าวว่า "จงเอาบาตรและจีวรของฉันมา" รับบาตรและจีวรไปแล้ว. ก็ไหว้พระเถระ เมื่อจะกลับ จึงเรียนสั่งว่า "ท่านขอรับ ท่านเมื่อนำอาหารมาเพื่อผม พึงนำเอาโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดมา." พระเถระ. จักได้โภชนะนั้นจากไหน? สามเณร. เมื่อไม่ได้ด้วยบุญของท่าน ก็จักได้ด้วยบุญของผม ขอรับ.

ครั้งนั้น พระเถระให้ลูกกุญแจแก่สามเณรนั้นแล้ว ก็เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต. สามเณรนั้นไปวิหารแล้ว เปิดห้องของพระเถระเข้าไปแล้ว ปิดประตู นั่งหยั่งญาณลงในกายของตนแล้ว.

ด้วยเดชแห่งคุณของสามเณรนั้น อาสนะของท้าวสักกะแสดงอาการร้อนแล้ว. ท้าวสักกะพิจารณาดูว่า "นี้เหตุอะไรหนอ?" เห็นสามเณรแล้ว ทรงดำริว่า "สุขสามเณรถวายจีวรแก่อุปัชฌาย์แล้ว กลับ (วิหาร) ด้วยคิดว่า ‘จักทำสมณธรรม’ ควรที่เราจะไปในที่นั้น" จึงรับสั่งให้เรียกท้าวมหาราชทั้ง ๔ แล้วทรงส่งไปด้วยดำรัสสั่งว่า "พ่อทั้งหลาย พวกท่านจงไป จงไล่นกที่มีเสียงเป็นโทษใกล้ป่าแห่งวิหารให้หนีไป.

ท้าวมหาราชทั้งหลายนั้น กระทำตามนั้นแล้ว ก็ (พากัน) รักษาอยู่โดยรอบ. ท้าวสักกะทรงบังคับพระจันทร์และพระอาทิตย์ว่า "พวกท่านจงยึดวิมานของตนๆ หยุดก่อน." แม้พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็กระทำตามนั้นแล้ว. แม้ท้าวสักกะเอง ก็ทรงรักษาอยู่ที่สายยู วิหารสงบเงียบ ปราศจากเสียง.

สามเณรเจริญวิปัสสนาด้วยจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง บรรลุมรรคและผล ๓ แล้ว. พระเถระอันสามเณรกล่าวว่า "ท่านพึงนำโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดมา" ดังนี้แล้ว ก็คิดว่า "อันเราอาจเพื่อได้ในตระกูลของใครหนอแล?" พิจารณาดูอยู่ ก็เห็นตระกูลอุปัฏฐากผู้สมบูรณ์ด้วยอัธยาศัยตระกูลหนึ่ง จึงไปในตระกูลนั้น อันชนเหล่านั้น มีใจยินดีว่า "ท่านผู้เจริญ ความดีอันท่านผู้มาในที่นี้ ในวันนี้ กระทำแล้ว" รับบาตรนิมนต์ให้นั่ง ถวายยาคูและของขบฉัน อันเขาเชิญกล่าวธรรมชั่วเวลาภัต จึงกล่าวสาราณียธรรมกถาแก่ชนเหล่านั้น กำหนดกาล ยังเทศนาให้จบแล้ว.

 

สุขสามเณรบรรลุพระอรหัต

ทีนั้น ชนทั้งหลายจึงถวายโภชนะมีรส ๑๐๐ ชนิดแก่พระเถระนั้น เห็นพระเถระรับโภชนะนั้นแล้วประสงค์จะกลับ จึงเรียนว่า "ฉันเถิด ขอรับ พวกผมจักถวายโภชนะแม้อื่นอีก" ให้พระเถระฉันแล้ว ก็ถวายจนเต็มบาตรอีก.

พระเถระรับโภชนะนั้นแล้ว ก็รีบไปวิหาร ด้วยคิดว่า "สามเณรของเราจักหิว." วันนั้น พระศาสดาเสด็จออกประทับนั่งในพระคันธกุฎีแต่เช้าตรู่ ทรงรำพึงว่า "วันนี้ สุขสามเณรรับบาตรและจีวรของอุปัชฌาย์แล้ว กลับไปแล้วตั้งใจว่า "จักทำสมณธรรม กิจของเธอสำเร็จแล้วหรือ?" พระองค์ทรงเห็นความที่มรรคผลทั้ง ๓ เทียว อันสามเณรบรรลุแล้ว จึงทรงพิจารณาแม้ยิ่งขึ้นไปว่า "สุขสามเณรนี้จักอาจไหมหนอ? เพื่อจะบรรลุพระอรหัตในวันนี้, ส่วนพระสารีบุตรรับภัตแล้ว ก็รีบออกด้วยคิดว่า ‘สามเณรของเราจักหิว’ ถ้าเมื่อสามเณรนี้ยังไม่บรรลุพระอรหัต. พระสารีบุตรจักนำภัตมาก่อน อันตรายก็จักมีแก่สามเณรนี้ ควรเราจะไปยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตู"

ครั้นทรงดำริแล้ว จึงเสด็จออกจากคันธกุฎี ประทับยืนยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตู. ฝ่ายพระเถระก็นำภัตมา. ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามปัญหา ๔ ข้อกะพระเถระนั้น โดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังแล. ในที่สุดแห่งการวิสัชนาปัญหา สามเณรก็บรรลุพระอรหัตแล้ว.

พระศาสดาตรัสเรียกพระเถระมาแล้ว ตรัสว่า "สารีบุตรจงไปเถิด จงให้ภัตแก่สามเณรของเธอ." พระเถระไปถึงแล้ว จึงเคาะประตู สามเณรออกมาทำวัตรแก่อุปัชฌาย์แล้ว เมื่อพระเถระบอกว่า "จงทำภัตกิจ" ก็รู้ว่าพระเถระไม่มีความต้องการด้วยภัต เป็นเด็กมีอายุ ๗ ขวบ บรรลุพระอรหัตในขณะนั้นนั่นเอง ตรวจตราดูที่นั่งอันต่ำ ทำภัตกิจแล้วก็ล้างบาตร.

ในกาลนั้น ท้าวมหาราช ๔ องค์ก็พากันเลิกการรักษา. ถึงพระจันทร์พระอาทิตย์ก็ปล่อยวิมาน. แม้ท้าวสักกะก็ทรงเลิกอารักขาที่สายยู พระอาทิตย์ปรากฏคล้อยเลยท่ามกลางฟ้าไปแล้วเทียว.

 

บัณฑิตย่อมฝึกตน

ภิกษุทั้งหลายพากันพูดว่า "กาลเย็นปรากฏ สามเณรเพิ่งทำภัตกิจเสร็จเดี๋ยวนี้เอง ทำไมหนอ? วันนี้เวลาเช้าจึงมาก เวลาเย็นจึงน้อย."

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยกล่าวเรื่องอะไรหนอ?" เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่า "พระเจ้าข้า วันนี้ เวลาเช้ามาก เวลาเย็นน้อย สามเณรเพิ่งฉันภัตเสร็จเดี๋ยวนี้เอง, ก็แลเป็นไฉน พระอาทิตย์จึงปรากฏคล้อยเคลื่อนท่ามกลางฟ้าไป" จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาทำสมณธรรมของผู้มีบุญทั้งหลาย ย่อมเป็นเช่นนั้นนั่นแล.

ก็ในวันนี้ ท้าวมหาราช ๔ องค์ยึดอารักขาไว้โดยรอบ, พระจันทร์และพระอาทิตย์ได้ยึดวิมานหยุดอยู่, ท้าวสักกะทรงยึดอารักขาที่สายยู ถึงเราก็ยึดอารักขาอยู่ที่ซุ้มประตู วันนี้ สุขสามเณรเห็นคนไขน้ำเข้าเหมือง ช่างศรดัดศรให้ตรง ช่างถาก ถากทัพสัมภาระทั้งหลาย มีล้อเป็นต้นแล้ว ฝึกตน บรรลุพระอรหัตแล้ว" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

๑๑.  อุทกํ หิ นยนฺติ เนตฺติกา  อุสุการา นมยนฺติ เตชนํ  
  ทารุํ นมยนฺติ ตจฺฉกา อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา. 
        อันคนไขน้ำทั้งหลายย่อมไขน้ำ, ช่างศรทั้งหลายย่อมดัดลูกศร, ช่างถากทั้งหลาย ย่อมถากไม้, ผู้สอนง่ายทั้งหลาย ย่อมฝึกตน.   

 

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุพฺพตา ความว่า ว่าง่าย คือพึงโอวาท พึงอนุศาสน์ โดยสะดวก.

คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังแล. ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้นแล้ว ดังนี้แล.

 


ที่มา อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐ จบ.

47493722
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
5019
86618
358485
46849926
980060
1172714
47493722

Your IP: 3.144.31.64
2024-11-23 04:34
© Copyright pariyat.com 2024. by กองทะเบียนและสารสนเทศ

Search